| | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | ก ถึง ฮ

     เครื่องรางคือของที่คนนับถือว่าป้องกันอันตรายยิงไม่ออกฟันไม่เข้าเช่นตระกรุดผ้ายันต์เหล็กไหลแม้พระเครื่องก็ถือกันว่าเป็นเครื่องรางโดยเรียกว่าพระเครื่องรางของขลังคือของที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์มีพลังหรืออำนาจที่อาจบันดาลให้เป็นไปหรืออาจบันดาลสิ่งที่ต้องประสงค์สำเร็จได้สองคำนี้มักนิยมใช้คู่กันเป็นเครื่องรางของขลังเครื่องรางของขลังปกติเป็นเรื่องนอกคำสอนของพระพุทธศาสนาถูกจัดอยู่ในประเภทไสยศาสตร์มากว่าแต่เป็นที่นิยมกันมาแต่โบราณด้วยเห็นว่าพลังหรืออำนาจนั้นมาจากพุทธคุณเครื่องราง

     แคว้นมคธเป็นชื่อแคว้นหนึ่งในจำนวน๑๖แคว้นใหญ่ในชมพูทวีปสมัยพุทธกาลมีเมืองหลวงชื่อราชคฤห์พระราชาที่ปกครองแคว้นมคธสมัยพุทธกาลคือพระเจ้าพิมพิสารต่อจากนั้นคือพระเจ้าอชาตศัตรูผู้เป็นพระราชโอรสแคว้นมคธเป็นแคว้นที่พระพุทธเจ้าทรงเลือกประดิษฐานพระพุทธศาสนาเป็นแห่งแรกเพราะเป็นแคว้นใหญ่และทรงรับสวนเวฬุวันนอกเมืองราชคฤห์เป็นอารามแห่งแรกในพระพุทธศาสนามคธเป็นชื่อของภาษาด้วยคือภาษามคธอันเป็นภาษาที่พระพุทธเจ้าทรงเลือกใช้ในการประกาศพระศาสนาซึ่งต่อมาเรียกว่าภาษาบาลีเพราะเป็นภาษาที่รักษาพระพุทธศาสนาเข้าไว้ พระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช)ปธ๙ราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัดกรุงเทพฯวัดราชโอรสาราม,๒๕๔๘แคว้นมคธ แคว้นมคธ

     ในอดีตสมัยที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แถบตำบลนี้เป็นที่อยู่ของชฏิลสามพี่น้องคืออุรุเวลากัสสปะนทีกัสสปะคยากัสสปะและบริวารของตนรวม๑,๐๐๓รูปที่ตั้งสำนักบูชาไฟของตนเรียงกันไปตามแม่น้ำเนรัญชราเป็นที่เคารพศรัทธาของคนในแคว้นมคธเป็นอย่างมากพระพุทธองค์ได้เสด็จกลับมาโปรดชฏิลเหล่านี้หลังจากตรัสรู้ที่ตำบลที่ใกล้กับที่ตั้งสำนักของอุรุเวลกัสสปะและบริวารหรืออุรุเวลาเสนานิคมโดยเสด็จไปโปรดปัญจวัคคีย์และจำพรรษาแรกที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันก่อนและทรงกลับมาทรงกระทำการทรมานทิฏฐิมานะของชฏิลด้วยการแสดงอภินิหารหลายประการจนเหล่าชฏิลทั้งหมดยอมรับนับถือและบรรพชาในพระพุทธศาสนาและพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงอาทิตตปริยายสูตรแก่เหล่าชฏิลจนบรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้งหมดที่คยาสีสะซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลคยาในปัจจุบันปัจจุบันคยาสีสะสถานที่ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมแก่ชฏิลจนบรรลุพระอรหันต์ยังคงมีชื่อเรียกว่าคยาสีสะเหมือนในพุทธกาลโดยมีสถูปเล็กๆตั้งอยู่ในจุดที่ชื่อว่าเป็นสถานที่พระพุทธองค์แสดงธรรมในครั้งนั้นด้วยนอกจากสถานที่ทางพระพุทธศาสนาแล้วยังมีวัดฮินดูชื่อว่าวัดวิษณุบาทที่ชาวฮินดูเชื่อว่าเป็นสถานที่ประดิษฐานรอยบาทของพระวิษณุตามคัมภีร์รามายณะด้วยโดยมีชาวฮินดูมาสักการะเป็นประจำ คยา คยาเมืองสำคัญสมัยพุทธกาลคยาคยาพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมแก่ชฏิลจนบรรลุ

     ๔ศอกเป็น๑ธนู๕๐๐ธนูเป็น๑โกสะ๔โกสะเป็น๑คาวุต๔คาวุตเป็น๑โยชน์

     ฆนะคือสิ่งที่เนื่องกันอยู่ท่านได้แบ่งฆนะออกเป็น๔อย่างคือสันตติฆนะสมูหฆนะกิจจฆนะอารัมมณฆนะสันตติฆนะคือขันธ์๕ที่เกิดดับสืบเนื่องกันไปไม่ขาดสายซึ่งเร็วจนดูเหมือนกับว่าขันธ์๕ไม่มีอะไรเกิดดับสมูหฆนะคือขันธ์๕ที่เกิดร่วมกันสัมพันธ์อาศัยซึ่งกันและกันจนดูราวกะว่าขันธ์ทั้ง๕เป็นกลุ่มก้อนเป็นหนึ่งเดียวกันกิจจฆนะคือขันธ์๕ที่มีกิจหน้าที่มากหลายรับรู้เข้าใจได้ง่ายและยากโดดเด่นแตกต่างกันไปซึ่งหากไม่มีปัญญาก็อาจดูเหมือนกับว่าขันธ์๕มีกิจอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงกิจเดียวอารัมมณฆนะคือขันธ์๔ที่รับรู้อารมณ์มากมายหลากหลายใหม่ๆไปเรื่อยแต่หากเราเองไม่มีความรู้พอที่จะสังเกตจะไม่ทราบเลยว่าจิตใจของเราแบ่งออกตามการรู้อารมณ์ได้มากทีเดียวฆนะฆนะ

     ฆราวาสอ่านว่าค่ะราวาดนัยแรกแปลว่าการอยู่ครองเรือนการอยู่ในเรือนการเป็นอยู่แบบชาวบ้านเช่นฆราวาสเป็นที่คับแคบเป็นทางมาแห่งธุลีบรรพชาเป็นทางปลอดโปร่งฆราวาสนัยที่สองแปลว่าผู้ครองเรือนผู้อยู่ในเรือนได้แก่ชาวบ้านทั่วไปที่มิใช่นักบวชเป็นคำที่มีความหมายเดียวกับคำว่าคฤหัสถ์เช่นฆราวาสธรรมเป็นธรรมสำหรับผู้ครองเรือนจะพึงประพฤติปฏิบัติเมื่อเรายังเป็นฆราวาสอยู่ได้ตกแต่งร่างกายนุ่งห่มเสื้อผ้าอันงามทัดทรงดอกไม้ลูบไล้ด้วยจุรณจันทน์แหะๆคำนี้แอบอ่านว่าคาระวาดมาตั้งนานแล้วแน่ะฆนะฆราวาส

     ฆานวิญญาณความรู้อารมณ์ทางจมูกคือรู้กลิ่นด้วยจมูกหรือการได้กลิ่นฆานวิญญาณ

     อานิสงส์ของการมีสัจจะปลูกนิสัยความรับผิดชอบให้เกิดขึ้นในตัวเป็นคนหนักแน่นมั่นคงมีความเจริญก้าวหน้าในการประกอบหน้าที่การงานได้รับการเคารพยกย่องมีคนเชื่อถือและยำเกรงครอบครัวมีความมั่นคงได้รับเกียรติยศชื่อเสียงอานิสงส์ของการมีทมะปลูกฝังนิสัยรักการฝึกฝนตนให้เกิดขึ้นในตัวทำให้เป็นคนมีความสามารถในการทำงานไม่มีเวรกับใครยับยั้งตนเองไม่ให้หลงไปทำผิดได้สามารถตั้งตัวได้มีปัญญาเป็นเลิศอานิสงส์ของการมีขันติปลูกฝังนิสัยการอดทนต่ออุปสรรคและปัญหาต่างๆทำงานได้ผลดีสามารถเป็นหลักในครอบครัวได้สามารถเป็นหลักให้กับบริวารได้ไม่มีเรื่องวิวาทกับคนอื่นไม่หลงผิดไปทำความชั่วได้ทำให้ได้ทรัพย์มาอานิสงส์ของการมีจาคะปลูกฝังการมีอารมณ์ผ่องใสและนิสัยเสียสละให้เกิดขึ้นในตัวเป็นการสร้างความปลอดภัยแก่ตนเองเป็นที่นับหน้าถือตาของคนทั่วไปครอบครัวและสังคมเป็นสุขมีกัลยาณมิตรรอบตัวสรุปแล้วคุณของการมีฆราวาสธรรมโดยรวมก็คือเมื่อมีสัจจะย่อมมีเกียรติยศชื่อเสียงเมื่อมีทมะย่อมได้รับปัญญาเมื่อมีขันติย่อมเกิดทรัพย์ในบ้านและเมื่อมีจาคะย่อมเกิดมิตรที่ดีไว้เป็นสมัครพรรคพวกในสังคมฆราวาสธรรม_ฆราวาสธรรม

     โทษของการขาดสัจจะปลูกนิสัยขาดความรับผิดชอบให้เกิดขึ้นในตัวเป็นคนเหลาะแหละพบแต่ความตกต่ำมีแต่คนดูถูกไม่มีคนเชื่อถือไม่สามารถรองรับความเจริญต่างๆได้ไร้เกียรติยศชื่อเสียงโทษของการขาดทมะขาดนิสัยรักการฝึกฝนตนเองทำให้ขาดความสามารถในการทำงานสามารถหลงผิดไปทำความชั่วได้ง่ายจะเกิดการทะเลาวิวาทได้ง่ายจะจมอยู่กับอบายมุขครอบครัวเดือดร้อนไม่สามารถตั้งตัวได้เป็นคนโง่เขลาโทษของการขาดขันติไม่สามารถอดทนต่อปัญหาและอุปสรรคต่างๆได้เป็นคนจับจดทำงานคั่งค้างไม่สามารถเป็นหลักให้ครอบครัวได้หลงผิดไปทำความชั่วได้ง่ายไม่ได้รับความไว้วางใจจากผู้อื่นเต็มไปด้วยศัตรูขาดความเจริญก้าวหน้าทำให้เสื่อมจากทรัพย์โทษของการขาดจาคะปลูกฝังความตระหนี่ให้เกิดขึ้นในใจได้รับคำครหาติเตียนเป็นทุกข์ใจไม่มีใครอยากเข้าใกล้สรุปแล้วโทษของการขาดฆราวาสธรรมโดยรวมก็คือเมื่อขาดสัจจะย่อมเกิดปัญหาถูกหวาดระแวงเมื่อขาดทมะย่อมเกิดปัญหาความโง่เขลาเมื่อขาดขันติย่อมเกิดปัญหาความยากจนและเมื่อขาดจาคะย่อมเกิดปัญหาความเห็นแก่ตัวเกิดขึ้นในสังคมฆราวาสธรรม_ฆราวาสธรรม

     งานฉลอง๒๕พุทธศตวรรษหรือพุทธชยันตี๒๕๐๐ปีเป็นเทศกาลสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่จัดขึ้นในปีพศ๒๕๐๐เนื่องในโอกาสที่ครบรอบ๒,๕๐๐ปีแห่งการปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านอกจากนี้ยังเรียกว่างานฉลองกึ่งพุทธกาลเนื่องจากความเชื่อโบราณว่าพระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่๕,๐๐๐ปีแล้วจักเสื่อมสลายลงงานฉลอง๒๕พุทธศตวรรษในประเทศไทยได้มีการเตรียมการล่วงหน้ากว่า๕ปีนับแต่ปีพศ๒๔๙๕มีการสร้างอนุสรณ์สถานพุทธมณฑลและการจัดกิจกรรมมากมายเพื่อเฉลิมฉลองพร้อมกันกับประเทศศรีลังกาอินเดียพม่าเนปาลและประเทศที่มีประชากรนับถือพระพุทธศาสนาทั่วโลก๒โดยในประเทศอื่นใช้คำว่าพุทธชยันตี๒,๕๐๐ปีงานฉลอง__พุทธศตวรรษพุทธชยันตี๒,๕๐๐ปี

     งานฉลอง๒๕พุทธศตวรรษในประเทศไทยเริ่มจัดขึ้นโดยการปรารภของรัฐบาลจอมพลปพิบูลสงครามโดยการแนะนำของฯพณฯอูถั่นชาวพุทธพม่าเลขาธิการองค์การสหประชาชาติในขณะนั้นที่ท่านได้ดำริให้ชาวพุทธทั่วโลกร่วมกันจัดงานฉลองพุทธชยันตี๒๕พุทธศตวรรษโดยมีการรณรงค์ให้ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาต่างๆจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองในปีนั้นเช่นประเทศพม่าประเทศศรีลังกาประเทศอินเดียโดยประเทศต่างๆได้จัดกิจกรรมเพื่อการฉลองนี้เป็นงานสำคัญระดับประเทศโดยในส่วนของประเทศไทยรัฐบาลของจอมพลปพิบูลสงครามได้นำโอกาสนี้จัดเป็นงานฉลองทางพระพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ของประเทศไทยโดยเริ่มงานตั้งแต่พศ๒๔๙๕มีการวางโครงการและระดมทุนเพื่อจัดสร้างพุทธมณฑลเพื่อเป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนานอกจากนี้ยังมีการออกประกาศพระบรมราชโองการพระราชทานบริเวณสนามหลวงเป็นสังฆปริมณฑลสำหรับจัดงานฉลองในครั้งนี้เป็นการชั่วคราวโดยมีการจัดสร้างพระเครื่องจำนวนมากที่สุดเรียกว่าพระฉลอง๒๕พุทธศตวรรษจำนวนกว่า๕,๐๔๒,๕๐๐องค์เพื่อระดมทุนในการสร้างพุทธมณฑลมีการออกประกาศให้วันธรรมสวนะเป็นวันหยุดราชการมีการออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมพระราชบัญญัติล้างมลทินนอกจากนี้แล้วรัฐบาลยังได้ออกพระราชบัญญัติเหรียญงานฉลอง๒๕พุทธศตวรรษเป็นกรณีพิเศษด้วยซึ่งเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในประเทศไทยที่รัฐบาลมีการออกเหรียญที่ระลึกและแพรแถบเนื่องในโอกาสสำคัญทางศาสนานอกจากนี้ยังได้มีการจัดกระบวนพยุหยาตราชลมารคเพื่อฉลอง๒๕พุทธศตวรรษเมื่อวันที่๑๔พฤษภาคมพศ๒๕๐๐ด้วยซึ่งเป็นการจัดกระบวนพยุหยาตราชลมารคเป็นครั้งแรกในรัชกาลปัจจุบันงานฉลอง__พุทธศตวรรษพุทธชยันตี๒,๕๐๐ปี

     งานอะไรก็ได้แหละค่ะที่ไม่ได้เป็นอาชีพที่พระองค์ได้ตรัสห้ามไว้หน่ะนะคะ การทำงาน งาน การทำงาน มิจฉาอาชีวะ

     ง่วงก็นอนสิคะ ง่วงนอน ความง่วง ง่วง หลับ

     ในพระไตรปิฏกโมคคัลลานสูตรมีพูดถึงการแก้ความง่วงด้วยแหละค่ะ ขั้นแรกให้ลองนึกถึงกุศลธรรมดูค่ะ ถ้าเธอยังละไม่ได้แต่นั้นเธอพึงตรึกตรองพิจารณาถึงธรรมตามที่ตนได้สดับแล้วได้เรียนมาแล้วด้วยใจ ถ้ายังละไม่ได้แต่นั้นเธอพึงสาธยายธรรมตามที่ตนได้สดับมาแล้วได้เรียนมาแล้วโดยพิสดาร ถ้ายังละไม่ได้แต่นั้นเธอพึงยอนช่องหูทั้งสองข้างเอามือลูบตัว ถ้ายังละไม่ได้แต่นั้นเธอพึงลุกขึ้นยืนเอาน้ำล้างตาเหลียวดูทิศทั้งหลายแหงนดูดาวนักษัตรฤกษ์ ถ้ายังละไม่ได้แต่นั้นเธอพึงทำในใจถึงอาโลกสัญญาทำจิตอันมีแสงสว่างให้เกิดนึกถึงแสงสว่างถ้ายังละไม่ได้แต่นั้นเธอพึงอธิษฐานจงกรมกำหนดหมายเดินกลับไปกลับมาสำรวมอินทรีย์มีใจไม่คิดไปในภายนอก ถ้ายังละไม่ได้แต่นั้นเธอพึงสำเร็จสีหไสยาคือนอนตะแคงเบื้องขวาซ้อนเท้าเหลื่อมเท้ามีสติสัมปชัญญะทำความหมายในอันจะลุกขึ้นพอตื่นแล้วพึงรีบลุกขึ้นด้วยตั้งใจว่าเราจักไม่ประกอบความสุขในการนอนความสุขในการเอนข้างความสุขในการเคลิ้มหลับ [ถีนมิทธะ]ถีนมิทธะ[] เหตุให้ละความง่วงได้ ง่วง ตื่นรีบลุก

      จาตุรงคสันนิบาตหมายถึงเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นพร้อมกัน๔อย่างในวันเดียวกันคือเกิดในสมัยพุทธกาลในวันขึ้น๑๕ค่ำเดือน๓ตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆซึ่งต่อมาถือกันว่าเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเรียกว่าวันมาฆบูชาเหตุการณ์๔อย่างคือ๑พระสงฆ์๑,๒๕๐รูปที่พระพุทธองค์ได้ส่งไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาตามแว่นแคว้นต่างๆได้กลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้าอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย๒พระสงฆ์ทั้งหมดล้วนเป็นเอหิภิกขุที่พระพุทธเจ้าทรงบวชให้ด้วยพระองค์เองทั้งสิ้นซึ่งเรียกว่าเอหิภิกขุอุปสัมปทา๓พระสงฆ์ทั้งหมดล้วนเป็นพระอรหันต์คือผู้ได้อภิญญา๖ข้อ๔วันที่พระสงฆ์ทั้งหมดมาชุมนุมกันนี้ตรงกับวันเพ็ญเดือนมาฆะคือวันขึ้น๑๕ค่ำเดือน๓ซึ่งในโอกาสนี้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาที่เรียกว่าโอวาทปาฏิโมกข์อันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาอีกด้วยพระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช)ปธ๙ราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัด,วัดราชโอรสารามกรุงเทพฯพศ๒๕๔๘จาตุรงคสันนิบาต โดยพระอรหันต์ทั้งหลายนั้นต่างไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าณวัดเวฬุวันมหาวิหารกรุงราชคฤห์อันเป็นที่ประทับโดยมีคณะทั้ง๔คือคณะศิษย์ของชฎิล๓พี่น้องคือคณะพระอุรุเวลกัสสปะมีศิษย์๕๐๐องค์คณะพระนทีกัสสปะมีศิษย์๓๐๐องค์คณะพระคยากัสสปะมีศิษย์๒๐๐องค์และคณะของพระอัครสาวกคือคณะพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะมีศิษย์๒๕๐องค์รวมนับจำนวนได้๑,๒๕๐รูปซึ่งในจำนวนนี้ไม่ได้นับรวมชฎิล๓พี่น้องและพระอัครสาวกทั้งสองการเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าในวันมาฆฤกษ์นี้เป็นไปโดยมิได้มีการนัดหมายและเป็นการเข้าประชุมของพระอรหันต์จำนวนมากเป็นมหาสังฆสันนิบาตและประกอบด้วยองค์ประกอบอัศจรรย์๔ประการคือพระสงฆ์สาวกที่มาประชุมพร้อมกันทั้ง๑,๒๕๐องค์นั้นได้มาประชุมกันยังวัดเวฬุวันโดยมิได้นัดหมาย,พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดต่างล้วนเป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทาคือเป็นพระสงฆ์ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง,พระสงฆ์ทั้งหมดที่มาประชุมล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา๖และวันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญมาฆปุรณมีดิถีขึ้น๑๕ค่ำเดือน๓ดังนั้นจึงมีคำเรียกวันนี้อีกคำหนึ่งว่าวันจาตุรงคสันนิบาตหรือวันที่มีการประชุมพร้อมด้วยองค์๔ดังกล่าวแล้ววันมาฆบูชา จาตุรงคสันนิบาต จาตุรงคสันนิบาต จาตุรงคสันนิบาต ๔อย่างวันเดียว

      จาตุรงคสันนิบาตอ่านว่าจาตุรงค่ะแปลว่าการประชุมพร้อมกันแห่งองค์สี่ค่ะพระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช)ปธ๙ราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัด,วัดราชโอรสารามกรุงเทพฯพศ๒๕๔๘จาตุรงคสันนิบาต จาตุรงคสันนิบาตมาจากศัพท์บาลีจตุบวกองฺคบวกสนฺนิปาตแปลว่าการประชุมอันประกอบด้วยองค์ประกอบทั้งสี่ประการค่ะวันมาฆบูชา จาตุรงคสันนิบาต จาตุรงคสันนิบาต จาตุรงคสันนิบาต ประชุมสี่

     ก็คงจิตปลอดโปร่งๆไม่มีคิดดีคิดร้ายอะไรกับใครมีสติอยู่กับตัวเบาๆสบายๆไรงี้มั้งคะ จิต จิต จิต ปลอดโปร่ง

     ก็น่าจะพักอยู่ที่วัดแหละค่ะ จำวัด จำวัด จำวัด พักอยู่วัด

     ความสงบระงับจากอกุศลนิวรณ์แห่งจิต จิตตสมถะ จิต จิตตสมถะ ระงับจากอกุศล

     คือกัลยาณปุถุชนผู้แทงตลอดลำดับแห่งนามรูปปริเฉทญาณที่๑ถึงลำดับโคตรภูญาณที่​๑๓​ตามสมควรค่ะพระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช)ปธ๙ราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัดวัดราชโอรสารามกรุงเทพฯพศ๒๕๔๘อริยบุคคล จูฬโสดาบัน จูฬโสดาบัน จูฬโสดาบัน ญาณ๑ถึง๑๓

     คือระลึกถึงการสละของของตนเป็นอารมณ์เพื่อให้จิตสงบนั่นเองแหละค่ะหากไม่มีสติก็ไม่เป็นภาวนาต้องมีสติจึงจะเป็นภาวนาคือระลึกได้ในทานที่สละไปตั้งนานแล้วเมื่อระลึกถึงก็เกิดความปลื้มปีติขึ้นมาทำให้จิตสงบได้อันนั้นแหละค่ะเป็นจาคานุสติหลวงปู่เทสก์เทสรํสีวัดหินหมากเป้งจหนองคาย จาคานุสติ จาคานุสติ จาคานุสติ ระลึกสละ

     จตุกโกฏิหรือจตุกโกณะแปลว่าสี่มุมค่ะจตุกโกฏิ จตุกโกฏิ โกฏิ จตุกโกฏิ สี่มุม

     จตุกโกฏิเป็นวิธีคิดแบบหนึ่งของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานคล้ายกับลัทธิของสัญชัยเวลัฏฐบุตรในสมัยพุทธกาลโดยมีหลักการดังนี้โกฏิที่๑เป็นบทตั้งยืนยันโกฏิที่๒เป็นบทตั้งแย้งปฏิเสธโกฏิที่๓เป็นบทตั้งโดยการรวมโกฏิที่๑และ๒เพื่อสร้างข้อเลือกที่๓โกฏิที่๔เป็นบทตั้งที่ปฏิเสธทั้งหมดเพื่อสร้างข้อเลือกที่๔ประเด็นสำคัญอยู่ที่โกฏิที่๔ซึ่งมุ่งที่จะทำให้หมดหนทางที่เราอาจจะกล่าวถึงบางสิ่งบางอย่างต่อไปอยู่ในฐานะเป็นอุตตระหมุนกลับไปลบล้างแบบที่๑ถึง๓ได้ทั้งหมดทฤษฎีจตุกโกฏิถูกสร้างขึ้นมาเพื่อที่จะบอกว่าการตอบปัญหาเกี่ยวกับโลกและชีวิตโดยใช้คำว่าใช่หรือไม่ใช่นั้นเป็นการให้คำตอบที่ไม่ยุติธรรมต่อสัจภาวะไม่สามารถให้เข้าถึงคำตอบที่ถูกต้องได้ยิ่งอธิบายความมากก็ยิ่งห่างไกลจากสัจภาวะจตุกโกฏิของนาคารชุนเพื่อจะพิสูจน์ว่าทรรศนะใดๆก็ตามที่ใครก็ตามแสดงออกมาล้วนไม่ถูกต้องนาคารชุนสร้างจตุกโกฏิขึ้นมาไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะพิสูจน์ทรรศนของตนเองดังข้อความว่า"ถ้าข้าพเจ้าสร้างสมมติฐานหรือบทตั้งขึ้นมาพวกคุณอาจจะพบความบกพร่องเกี่ยวกับสมมติฐานนั้นได้เนื่องจากข้าพเจ้าไม่มีสมมติฐานที่จะสร้างปัญหาที่จะพิสูจน์ว่ามันจริงหรือไม่จริงจึงไม่เกิดขึ้น"นาคารชุนถือคติว่า"เมื่อไม่มีแผลบนฝ่ามือยาพิษก็ไม่สามารถซึมซาบเข้าไปได้"และท่านได้นำวิภาษวิธีแบบจตุกโกฏิไปใช้ตอบโต้คน๒พวกคือ๑พวกยึดถือคัมภีร์อย่างเคร่งครัดและมีศรัทธาโดยไม่ต้องพิสูจน์หรือก็พวกสิทธันตนิยม๒พวกเหตุผลนิยมพยายามอธิบายธรรมชาติโดยกระบวนการแห่งเหตุผลค่ะจตุกโกฏิ จตุกโกฏิ โกฏิ จตุกโกฏิ คิดแบบมหายาน



๒๓ ความรู้ก่อนหน้า |๒๓ ความรู้ต่อไป

| | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | ก ถึง ฮ