| | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | ก ถึง ฮ

     จักรรัตนะหรือจักรแก้วหัตถีรัตนะหรือช้างแก้วอัสสรัตนะหรือม้าแก้วมณีรัตนะหรือมณีแก้วอิตถีรัตนะหรือนางแก้วคหบดีรัตนะหรือขุนคลังแก้วและปริณายกรัตนะหรือขุนพลแก้ว แก้ว๗ประการ แก้ว๗ประการมี แก้ว๗ประการ จักรรัตนะ

     จตุกโกฏิหรือจตุกโกณะแปลว่าสี่มุมค่ะจตุกโกฏิ จตุกโกฏิ โกฏิ จตุกโกฏิ สี่มุม

     จตุกโกฏิเป็นวิธีคิดแบบหนึ่งของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานคล้ายกับลัทธิของสัญชัยเวลัฏฐบุตรในสมัยพุทธกาลโดยมีหลักการดังนี้โกฏิที่๑เป็นบทตั้งยืนยันโกฏิที่๒เป็นบทตั้งแย้งปฏิเสธโกฏิที่๓เป็นบทตั้งโดยการรวมโกฏิที่๑และ๒เพื่อสร้างข้อเลือกที่๓โกฏิที่๔เป็นบทตั้งที่ปฏิเสธทั้งหมดเพื่อสร้างข้อเลือกที่๔ประเด็นสำคัญอยู่ที่โกฏิที่๔ซึ่งมุ่งที่จะทำให้หมดหนทางที่เราอาจจะกล่าวถึงบางสิ่งบางอย่างต่อไปอยู่ในฐานะเป็นอุตตระหมุนกลับไปลบล้างแบบที่๑ถึง๓ได้ทั้งหมดทฤษฎีจตุกโกฏิถูกสร้างขึ้นมาเพื่อที่จะบอกว่าการตอบปัญหาเกี่ยวกับโลกและชีวิตโดยใช้คำว่าใช่หรือไม่ใช่นั้นเป็นการให้คำตอบที่ไม่ยุติธรรมต่อสัจภาวะไม่สามารถให้เข้าถึงคำตอบที่ถูกต้องได้ยิ่งอธิบายความมากก็ยิ่งห่างไกลจากสัจภาวะจตุกโกฏิของนาคารชุนเพื่อจะพิสูจน์ว่าทรรศนะใดๆก็ตามที่ใครก็ตามแสดงออกมาล้วนไม่ถูกต้องนาคารชุนสร้างจตุกโกฏิขึ้นมาไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะพิสูจน์ทรรศนของตนเองดังข้อความว่า"ถ้าข้าพเจ้าสร้างสมมติฐานหรือบทตั้งขึ้นมาพวกคุณอาจจะพบความบกพร่องเกี่ยวกับสมมติฐานนั้นได้เนื่องจากข้าพเจ้าไม่มีสมมติฐานที่จะสร้างปัญหาที่จะพิสูจน์ว่ามันจริงหรือไม่จริงจึงไม่เกิดขึ้น"นาคารชุนถือคติว่า"เมื่อไม่มีแผลบนฝ่ามือยาพิษก็ไม่สามารถซึมซาบเข้าไปได้"และท่านได้นำวิภาษวิธีแบบจตุกโกฏิไปใช้ตอบโต้คน๒พวกคือ๑พวกยึดถือคัมภีร์อย่างเคร่งครัดและมีศรัทธาโดยไม่ต้องพิสูจน์หรือก็พวกสิทธันตนิยม๒พวกเหตุผลนิยมพยายามอธิบายธรรมชาติโดยกระบวนการแห่งเหตุผลค่ะจตุกโกฏิ จตุกโกฏิ โกฏิ จตุกโกฏิ คิดแบบมหายาน

     จักขุวิญญาณความรู้อารมณ์ทางตาคือรู้รูปด้วยตาหรือการเห็น จักขุวิญญาณ จักขุวิญญาณ จักขุวิญญาณ การเห็น

     จักรวรรดิวัตร๑๒คือธรรมอันเป็นพระราชจริยานุวัตรสำหรับพระมหาจักรพรรดิและพระราชาเอกในโลกทั้งนี้โดยพระมหากษัตริย์ผู้ปกครองประชาชนทรงถือและอาศัยธรรมข้อนี้เป็นธงชัยร่วมกันกับทศพิธราชธรรมและราชสังคหะ๔สำหรับการดำเนินกุศโลบายและวิเทโศบายค่ะจักรวรรดิวัตร_ จักรวรรดิวัตร๑๒ จักรวรรดิวัตร๑๒ จักรวรรดิวัตร ธรรมสำหรับพระมหาจักรพรรดิ

     จังหันหมายถึงข้าวอาหารของขบเคี้ยวเป็นคำโบราณที่ใช้กับพระสงฆ์ปกติใช้เป็นคำเรียกรวมอาหารทั้งคาวหวานผลไม้และของขบฉันทุกชนิดที่จัดไว้สำหรับพระสงฆ์โดยเฉพาะเช่นใช้คำพูดว่าพระท่านกำลังฉันจังหันอยู่โดยรวมแล้วฉันจังหันคือรับประทานอาหารนั่นเองความจริงคำว่าจังหันเป็นคำที่แปลความหมายมาจากคำว่าภัตหรือภัตตาหารแต่ในปัจจุบันไม่นิยมใช้จังหันแต่ใช้คำว่าภัตตาหารแทนเช่นคำพูดที่ว่าข้าพเจ้าทั้งหลายขอถวายภัตตาหารกับของที่เป็นบริวารทั้งหลายเหล่านี้แด่พระสงฆ์พระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช)ปธ๙ราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัด,วัดราชโอรสารามกรุงเทพฯพศ๒๕๔๘จังหัน จังหัน จังหัน จังหัน อาหาร

     จาคะแปลว่าความเสียสละการแบ่งปันความเอื้อเฟื้อมีความหมายเช่นเดียวกับคำว่าทานและบริจาคจาคะหมายถึงการสละสิ่งของและความสุขส่วนตัวเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่นและหมายรวมถึงการสละละทิ้งกิเลสละความโลภความเห็นแก่ตัวความตระหนี่ความใจแคบและการเลิกละนิสัยตลอดถึงความประพฤติที่ไม่ดีที่ทำให้เกิดความเสียหายก่อความบาดหมางทะเลาะเบาะแว้งเป็นต้นด้วยจาคะเป็นคุณธรรมที่เป็นเหตุให้ผู้ปฏิบัติมองเห็นและเอื้ออาทรต่อความทุกข์ยากและความต้องการของคนอื่นนำให้เป็นคนไม่คับแคบไม่เห็นแก่ตัวแล้วให้ความช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ด้วยความเห็นอกเห็นใจเป็นคนชอบให้ชอบแบ่งปันคิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเองพระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช)ปธ๙ราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัด,วัดราชโอรสารามกรุงเทพฯพศ๒๕๔๘จาคะ จาคะ จาคะ จาคะ ความเสียสละ

     จาตุทสีอ่านว่าจาตุดทะสีแปลว่าดิถีเป็นที่เต็ม๑๔วันคือวัน๑๔ค่ำใช้เรียกทั้งข้างขึ้นและข้างแรมเรียกเต็มว่าจาตุทสีดิถีจาตุทสีปกติใช้ในการประกาศองค์อุโบสถในวันพระซึ่งหัวหน้าอุบาสกหรืออุบาสิกาจะประกาศก่อนที่จะรับศีลอุโบสถจากพระว่าขอประกาศเริ่มเรื่องความที่จะสมาทานรักษาอุโบสถอันพร้อมไปด้วยองค์แปดประการให้สาธุชนที่ได้ตั้งจิตสมาทานทราบทั่วกันก่อนแต่สมาทานณบัดนี้ด้วยวันนี้เป็นจาตุทสีดิถีที่สิบสี่แห่งกาฬปักษ์มาถึงแล้วก็แหละวันเช่นนี้เป็นกาลที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติแต่งตั้งไว้ให้ประชุมกันฟังธรรมและเป็นกาลที่จะรักษาอุโบสถของอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายถ้าเป็นวัน๘ค่ำใช้ว่าวันอัฐมีวัน๑๕ค่ำใช้ว่าวันปัณรสีพระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช)ปธราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัด,วัดราชโอรสารามกรุงเทพฯพศ๒๕๔๘จาตุทสี จาตุทสี จาตุทสี จาตุทสี วัน๑๔ค่ำ

     จิตตวิสุทธิหมายถึงความหมดจดแห่งจิตคือจิตที่สมดุลเพราะวิริยะพละเสมอกับสมาธิพละทำให้สมาธิก็สมดุลวิริยะก็สมดุลเป็นปัจจัยให้สติกำหนดรู้อยู่ในปัจจุบันขณะได้อย่างพอดีไม่ไปในอนาคตเพราะวิริยะมีมากไม่อยู่ในอดีตเพราะสมาธิมีกำลังมากไปเป็นการฝึกอบรมจิตจนบังเกิดขณิกสมาธิที่ปราศจากนิวรณ์เพราะสติต่อเนื่องจนนิวรณ์ไม่สามารถเข้าแทรกในจิตได้อันเป็นปทัฏฐานที่สำคัญทำให้เจริญวิปัสสนาได้ง่าย จิตตวิสุทธิ

     จิตตวิเวกความสงัดใจได้แก่การทำจิตให้สงบผ่องใสสงัดจากนิวรณ์หมายเอาจิตแห่งผู้มีสมาธิและสติ

     จิตตุปบาทอ่านว่าจิดตุปะบาดหรือจะจิดตุบปะบาดก็ได้แปลว่าการเกิดขึ้นแห่งความคิดความคิดที่เกิดขึ้นที่เกิดขึ้นแห่งความคิดเขียนว่าจิตตุบาทก็ได้จิตตุปบาทได้แก่ความคิดที่เกิดขึ้นในขณะนั้นหรือเกิดแบบกะทันหันใช้กับความคิดทั้งที่ดีและไม่ดีซึ่งมีความหมายเช่นเดียวกับคำว่าจิตนั่นเองเช่นใช้ว่าเรากล่าวว่าจิตตุปบาทมีอุปการะมากในกุศลธรรมทั้งหลายพระเทวทัตเกิดความปรารถนาว่าเราจักบริหารภิกษุสงฆ์และพระเทวทัตก็ได้เสื่อมจากฤทธิ์นั้นพร้อมกับจิตตุปบาทนั่นเองอกุศลมูล๓คือโลภะโทสะโมหะและกิเลสที่ตั้งอยู่ในจิตตุปบาทอันเดียวกับโลภะโทสะโมหะนั้นพระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช)ปธ๙ราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัด,วัดราชโอรสารามกรุงเทพฯพศ๒๕๔๘จิตตุปบาท จิตตุปบาท จิตตุปบาท จิตตุปบาท ความคิดที่เกิดขึ้น

     จิตนิยามคือกฎธรรมชาติที่เกี่ยวกับกลไกการทำงานของจิตพระพุทธศาสนาค้นพบว่าคนเราประกอบด้วยส่วนที่สำคัญ๒ส่วนคือร่างกายและจิตใจจิตนิยามคือกฎธรรมชาติในส่วนที่เกี่ยวกับการทำงานของจิตเท่านั้นกระบวนการของความคิดพระพุทธศาสนาเชื่อว่าสัตว์โลกประกอบด้วยองค์ประกอบที่สำคัญส่วนหนึ่งของชีวิตคือจิตจิตในทัศนะของพุทธศาสนาเป็นสิ่งต่างหากจากกายในฐานะที่เป็นสิ่งหนึ่งต่างหากจากกายจิตก็มีกฎเกณฑ์ในการทำงานเปลี่ยนแปลงและแสดงพฤติกรรมเป็นแบบฉบับเฉพาะตัวจิตนิยามได้แก่นามธาตุคือจิตและเจตสิกที่เป็นธรรมธาตุ จิตนิยาม จิตนิยาม จิตนิยาม การทำงานของจิต

     จิตรลดาวันแปลว่าป่ามีเถาวัลย์หลากสีสวยงามตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกกของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์สระในอุทยานนี้มีชื่อว่าจิตรโบกขรณีและจุลจิตรโบกขรณีส่วนแผ่นศิลาแก้วในอุทยานนี้แผ่นหนึ่งมีชื่อว่าจิตรปาสาณอีกแผ่นหนึ่งมีชื่อว่าจุลจิตรปาสาณ อุทยานบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จิตรลดาวัน จิตรลดาวัน เถาวัลย์หลากสี

     จิตอ่อนจิตที่ไม่แข็งจิตที่อ่อนแล้วนี่แหละที่ควรแก่การงานนึกจะทำอะไรก็ได้เป็นจิตที่ดีเป็นจิตที่ควรชมควรแก่การงานจะพิจารณาอะไรก็ได้ค่ะ []หลวงปู่ขาวอนาลโย[] []'เมตตาจิตพิชิตกิเลส'คติธรรมคำสอน'หลวงปู่ขาวอนาลโย'[] จิต จิต จิต จิตเบาจิตว่าง

     จินตามยปัญญาเป็นคู่กับปฏิบัติการปฏิบัติมี๒วิธี๑ปฏิบัติที่เป็นไปในขั้นกามาวจร๒ปฏิบัติให้เป็นไปในโยคาวจรทั้งสองวิธีนี้มีอุบายในการปฏิบัติที่แตกต่างกันอย่างไรเราปฏิบัติอยู่ในขณะนี้เป็นระดับขั้นกามาวจรหรือเป็นขั้นโยคาวจรจะรู้วิธีในการปฏิบัติให้ถูกต้องต่อไป๑ปฏิบัติในขั้นกามาวจรเป็นวิธีปฏิบัติเพื่อเสริมสร้างบารมีที่เรียกว่าการบำเพ็ญกุศลไม่หวังมรรคผลนิพพานในชาตินี้แต่อย่างใดทำไปเพื่อให้เกิดความสุขภายในใจเท่านั้นเช่นการทำบุญให้ทานการรักษาศีลการเจริญเมตตาภาวนาการทำสมาธิการทำสมาธิทุกคนก็พอจะเข้าใจเพราะทำกันอยู่แล้วทำเพื่อความสุขสบายในใจไปชั่วคราวเท่านั้นถึงจะทำสมาธิให้จิตมีความสงบลึกลงไปเป็นฌานรูปฌานอรูปฌานอยู่ก็ตามก็จะได้ไปเกิดในภพของรูปพรหมอรูปพรหมเท่านั้นเมื่ออำนาจฌานเสื่อมลองก็จะได้มาเกิดในโลกนี้ต่อไปเว้นพระพรหมในพระอนาคามีเท่านั้นนอกนั้นจะต้องลงมาเกิดภายในภพทั้งสามต่อไป๒ปฏิบัติในขั้นโยคาวจรเป็นอุบายการปฏิบัติเพื่อจะพ้นไปจากภพทั้งสามในชาตินี้ให้ได้จะไปได้หรือไม่ได้เป็นอีกเรื่องหนึ่งแต่ความตั้งใจจะให้พ้นไปได้ในชาตินี้จริงๆการปฏิบัติในขั้นโยคาวจรใช้สติปัญญาเป็นหลักที่ยืนตัวการทำสมาธิก็เพื่อเป็นอุบายเสริมให้แก่สติปัญญาเท่านั้นการทำสมาธิก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษให้ทำเหมือนที่ได้ทำตามปกติทั่วๆไปข้อสำคัญอย่าให้มีความอยากในสิ่งใดๆอย่าหวังผลว่าให้เป็นอย่างนั้นให้รู้อย่างนี้การนึกคำบริกรรมก็เอาตามที่เรามีความถนัดหรือกำหนดสติระลึกรู้อยู่กับลมหายใจเข้าหายใจออกก็ได้เมื่อจิตเป็นสมาธิตั้งใจมั่นได้แล้วให้สังเกตดูจิตตัวเองว่าจิตมีความต้องการที่จะสงบต่อไปหรือต้องการพิจารณาในสิ่งต่างๆถ้าจิตต้องการความสงบก็ปล่อยให้ลงสู่ความสงบอย่างเต็มที่ในช่วงจิตมีความสงบอยู่นั้นอย่าไปบังคับให้จิตได้ถอนปล่อยให้จิตอยู่ในความสงบจนอิ่มตัวเมื่อจิตอิ่มตัวในความสงบแล้วก็จะเริ่มถอนออกมาเองในขณะที่จิตถอนอย่าให้ถอนเร็วให้มีสติกำหนดรู้เอาไว้ไม่ให้ถอนออกหมดให้อยู่ในขณิกะอุปจารสมาธิในความตั้งใจมั่นจากนั้นก็น้อมใจพิจารณาในหมวดธรรมต่างๆต่อไปเหมือนกับนอนหลับแล้วตื่นขึ้นอย่าให้ตื่นพรวดพราดลืมตาเลยทีเดียวให้มีสติหลับตาเอาไว้ถ้าหากมีความฝันอย่างไรจะได้เรียบเรียงดูความฝันนั้นได้นี้ฉันใดเมื่อจิตถอนออกจากสมาธิก็ให้เป็นในลักษณะฉันนั้นในบางกรณีหรือบางคนเมื่อจิตรวมอยู่ในสมาธิตั้งใจมั่นได้แล้วจะกำหนดให้จิตลงสู่ความสงบต่อไปอีกไม่ได้จิตชอบคิดในเรื่องนี้เป็นนิสัยถ้าเป็นในลักษณะนี้ให้หยุดคำบริกรรมเสียให้น้อมใจพิจารณาในหมวดธรรมต่างๆต่อไปการใช้ปัญญาพิจารณาในหมวดสัจธรรมนั้นให้พิจารณาในสัจธรรมต่างๆที่เคยคิดพิจารณามาแล้วเคยฝึกคิดพิจารณาถึงสิ่งที่ไม่เที่ยงเคยฝึกคิดพิจารณาเรื่องความทุกข์และเหตุให้เกิดทุกข์เคยคิดพิจารณาในเรื่องอนัตตาว่าธาตุสี่ขันธ์ห้าไม่เป็นอัตตาตัวตนเป็นเพียงจิตได้อาศัยกันอยู่กับธาตุเท่านั้นอีกไม่นานก็จะได้ผุพังเปื่อยเน่าเป็นธาตุดินให้คิดพิจารณาในวัตถุสมบัติทั้งหลายว่าเป็นปัจจัยอาศัยประจำชีวิตเท่านั้นอีกไม่กี่วันเดือนปีก็จะได้ตายจากสมบัติไปคิดพิจารณาว่าไม่มีสมบัติอะไรเป็นของของเราที่แน่นอนตายตัวการคิดพิจารณาในสิ่งที่ไม่เที่ยงให้คิดเรียบเรียงไปตามความเปลี่ยนแปลงในสิ่งนั่นๆว่ามีความเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างไรทำความเข้าใจให้รู้เห็นตามความเป็นจริงในสิ่งนั้นให้ชัดเจนทั้งสิ่งภายนอกที่มีอยู่เป็นอยู่ในที่ทั่วไปภายในคือธาตุสี่มีธาตุดินธาตุน้ำธาตุลมธาตุไฟที่รวมกันอยู่เป็นรูปธาตุให้พิจารณาเรียบเรียงไปตามวัยวัยหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปเป็นอีกวัยหนึ่งจนถึงปัจฉิมวัยคือวัยที่แก่หง่อมเต็มที่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างไรใช้ปัญญาพิจารณาให้รู้เห็นตามความเป็นจริงอยู่บ่อยๆจิตก็จะค่อยรู้เห็นในก้อนธาตุที่ไม่เที่ยงนี้ได้อย่างชัดเจนทั้งเราทั้งเขาและสัตว์ดิรัจฉานทุกชนิดก็มีความไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงไปตามวัยเช่นกันการพิจารณาความทุกข์หมายถึงความทุกข์ทางใจอย่างอื่นเพียงเป็นเหตุปัจจัยให้เป็นทุกข์เท่านั้นลำพังใจอย่างเดียวจะไม่มีความสุขความทุกข์อะไรใจที่เป็นทุกข์เป็นสุขไปตามเหตุนั้นๆเรียกว่ากิเลสตัณหากิเลสตัณหาหมายถึงความรักความใคร่ความกำหนัดย้อมใจอยู่ในกามคุณที่ใจหลงว่าเป็นความสุขที่จริงก็เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์นั้นเองความสุขและความทุกข์เป็นผลเกิดขึ้นจากความสมหวังและความผิดหวังถ้าได้อะไรมาตามใจชอบก็ถือว่ามีความสุขถ้าไม่ได้ตามใจก็ถือว่าเป็นทุกข์ทั้งสุขทั้งทุกข์จึงเป็นกิเลสด้วยกันทั้งสองความสุขทุกคนมีความต้องการความทุกข์ไม่มีใครต้องการแต่มีความหมั่นขยันในการสร้างเหตุให้เกิดทุกข์อยู่ตลอดเวลาหารู้ตัวเองไม่ว่าเรากำลังสร้างเหตุแห่งทุกข์ให้แก่ตัวเองความไม่รู้นี้เองจึงเรียกว่าโมหะอวิชชาจึงได้เกิดเป็นตัณหาความอยากความต้องการอยากนั้นบ้างอยากนี้บ้างจิปาถะจะนับเป็นตัวเลขไม่ได้เลยจึงเป็นความอยากเพื่อเสริมกิเลสให้มีกำลังถ้าทำลายหรือตัดความอยากออกจากใจได้แล้วกิเลสก็จะหมดสภาพไปเองอนัตตาหมายถึงสูญสลายไปไม่ใช่อัตตาตัวตนเราเขาการพิจารณาในอนัตตาให้รู้จำในคำว่าอัตตาเอาไว้เพราะอนัตตาเป็นลักษณะที่สูญไปจากอัตตานั้นเองอัตตามี๒อย่างรูปอัตตาหมายถึงธาตุธุลีคือธาตุดินธาตุน้ำธาตุลมธาตุไฟที่รวมกันอยู่เรียกว่านามอัตตาหมายถึงเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณเรียกว่าอาการของจิตการพิจารณาในธาตุสี่ให้แยกพิจารณาดูแต่ละธาตุให้เข้าใจแล้วใช้ปัญญาพิจารณารวมกันเรียกว่าเจริญอาการ๓๒ให้เป็นธาตุด้วยกันทั้งหมดและให้พิจารณาในอสุภะในความสกปรกโสโครกเน่าเฟะในทุกส่วนของธาตุนั้นๆคิดพิจารณาสร้างภาพตามความเป็นจริงอยู่บ่อยๆใจก็จะค่อยเกิดความรู้เห็นเป็นไปตามความจริงชัดเจนก็จะรู้เห็นความไม่สวยงามความสกปรกในร่างกายนี้ให้พิจารณาดูร่างกายของตัวเองและพิจารณาดูรูปร่างกายของคนอื่นให้เป็นในลักษณะสกปรกเน่าเฟะเปื่อยผุพังเหมือนกับตัวเราหรือให้พิจารณาซากศพคนและสัตว์ตายก็ได้เพื่อเป็นพยานหลักฐานยืนยันในความเป็นจริงเมื่อทิ้งไว้ก็จะเป็นอาหารของแมลงวันและหนอนไปเมื่อเอาไปเผาก็เหลือเพียงกระดูกออกมาให้เห็นเราก็จะเป็นในลักษณะนี้เช่นกันหากใจยังครองร่างกายนี้อยู่ก็เคลื่อนไหวไปมาได้เมื่อใจออกจากร่างกายนี้ไปรูปกายทุกส่วนก็จะนอนทับถมสลายไปในแผ่นดินนี้ทั้งหมดจึงไม่เป็นสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาแต่อย่างใดจึงเป็นรูปังอนัตตาอนัตตาในนามที่เป็นอาการของจิตมีเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณอาการของจิตทั้ง๔นี้มีวิญญาณการรับรู้เป็นประธานวิญญาณการรับรู้นี้เองจะเชื่อมโยงให้จิตได้รู้อารมณ์ที่เป็นสุขอารมณ์ที่เป็นทุกข์อารมณ์ที่ไม่สุขไม่ทุกข์ที่เรียกว่าเวทนาสัญญาความจดจำในสิ่งต่างๆวิญญาณการรับรู้ในความจดจำนั้นๆจำในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะกามคุณห้านี้เองจึงเป็นอาหารที่เลิศรสให้แก่กิเลสตัณหามีความต้องการอยากที่จะสัมผัสจึงทำให้เกิดเวทนาความจำในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะจำมาเพื่อให้เกิดความหลงรักหลงชังจึงเรียกว่าสัญญาเมื่อจำมาได้ก็ปรุงแต่งให้ใจเกิดความรักขึ้นมาอย่างหยดย้อยทีเดียวใจจึงหลงในความรักมีความยินดีพอใจในความรักความอยากได้อยากมีอยากสัมผัสในความรักนั้นๆอย่างฝังใจทีเดียวรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะที่ไม่ชอบใจก็ใช้วิธีคิดปรุงแต่งให้ใจเกิดความโกรธไม่พอใจในสิ่งใดจึงได้เกิดความทุกข์ขึ้นมาฉะนั้นเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณจึงเป็นลักษณะอาการของใจอาศัยการสัมผัสของอายตนะภายในภายนอกจึงเกิดกระแสแห่งความรักความชังจึงได้เกิดความหลงความเข้าใจผิดไปว่าเป็นตนกิเลสตัณหาน้อยใหญ่จึงเกิดมีในใจจึงทำให้เกิดทิฏฐิมานะจึงเกิดความยึดถือไปว่าเป็นอัตตาตัวตนจึงเกิดมิจฉาทิฏฐิความเห็นผิดว่าเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณเป็นเราขึ้นมากิเลสตัณหาน้อยใหญ่จะอาศัยอยู่ในนามจิตอย่างมืดมิดทีเดียวถ้าสติปัญญาไม่มีความละเอียดแหลมลึกจริงๆจะเจาะเข้าไปให้รู้เห็นตามความจริงนี้ไม่ได้เลยฉะนั้นอัตตาทั้งสองคือรูปอัตตานามอัตตาที่เรียกว่าขันธ์ห้ามีรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณเป็นเพียงให้กิเลสตัณหาอาศัยอยู่จึงฝึกสติปัญญาพิจารณาให้รู้เห็นให้เป็นไปในอนิจจังทุกขังอนัตตาให้รู้เห็นเป็นสภาวะที่เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไปตามเหตุปัจจัยของขันธ์นั้นๆให้แจ่มแจ้งชัดเจนจะไม่เกิดความเห็นผิดความเข้าใจผิดไปว่าขันธ์ห้าเป็นอัตตาตัวตนแต่อย่างใดจินตามยปัญญาในภาคปฏิบัตินี้เองจึงเรียกว่าการเจริญวิปัสสนาในขั้นโยคาวจรเป็นอุบายการฝึกใจให้ปฏิเสธทอดอาลัยในสรรพสังขารทั้งหลายว่าไม่มีอะไรเป็นเราและเป็นของของเราโดยประการทั้งปวงการใช้ปัญญาพิจารณาในหมวดธรรมใดมิใช่ว่าจะให้เกิดความรู้เห็นเป็นไปในสัจธรรมเท่านั้นต้องทำใจให้ปฏิเสธไปพร้อมๆกันใช้ความจริงจังในขณะพิจารณานั้นอย่างเข้มข้นฮึกเหิมจะใช้ความคิดพิจารณาด้วยปัญญาในเรื่องความจริงอะไรต้องใช้กำลังภายในเป็นองค์ประกอบทุกครั้งไปเสียงภายในก็ใช้วิธีดุดันอย่างเผ็ดร้อนและปฏิเสธไปพร้อมๆกันในขณะนั้นใช้กำลังปัญญาบวกกับกำลังเสียงกระตุกใจให้ตื่นตัวเหมือนกับไฟกำลังโหมไหม้บ้านตัวเองอยู่ผู้ที่ยังนอนหลับหลงใหลไม่รู้ตัวก็ต้องตะโกนกระชากให้ตื่นขึ้นเพื่อจะได้หาน้ำมาดับไฟให้หมดไปนี้ฉันใดไฟของราคะไฟของโทสะไฟของโมหะที่กำลังโหมตัวร้อนใจหลงใหลใฝ่ฝันเมามันอยู่ในกามคุณจะใช้ปัญญาธรรมดาพรรณนาในเรื่องความจริงอย่างไรใจก็ยังใฝ่ฝันไปในความรักความใคร่ในกามคุณที่เป็นฝ่ายต่ำหยาบคายก็ต้องใช้ปัญญาอย่างหยาบกระทบกระแทกใจให้ได้ตื่นตัวเมื่อใจไม่ยอมรับความจริงก็ต้องใช้วิธีดุด่าขู่เข็ญปัญญาจี้ให้ใจได้รู้เห็นในสิ่งที่ไม่เที่ยงจี้ให้ใจรู้เห็นในทุกข์และเหตุให้เกิดทุกข์จี้บังคับให้ใจยอมรับความเป็นจริงเหมือนกับงูที่คาบเขียดกำลังจะกลืนจะบอกให้งูคายออกมาด้วยความนุ่มนวลอ่อนหวานด้วยคำพูดอย่างไรงูก็ไม่ยอมปล่อยวางจึงให้ใช้วิธีตะคอกดุด่าตบตีให้งูเกิดความตกใจกลัวงูจึงจะวางเขียดออกไปได้นี้ฉันใดกิเลสตัณหากำลังเกาะใจอย่างเหนียวแน่นจะใช้ปัญญาพิจารณาที่ถูกต้องตามหลักความจริงกิเลสตัณหาก็จะเกาะอยู่กับใจใจก็เกาะอยู่กับกิเลสตัณหาจึงใช้วิธีตะเพิดดุด่าตะคอกเพื่อให้ใจกับกิเลสตัณหาได้คลายออกจากกันไปไม่ให้มีความผูกพันต่อกันดังที่เคยเป็นมาการใช้ปัญญาสอนใจไม่ให้เป็นมิตรต่อกิเลสตัณหาต้องเอาความความทุกข์ที่เป็นผลงานของกิเลสตัณหามาเป็นพยานหลักฐานพรรณนาความทุกข์ที่ใจได้รับมาเป็นข้อมูลให้ใจได้รู้ได้เห็นในทุกข์โทษภัยในเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมานจนถึงปัจจุบันเป็นผลงานที่ทรมานเดือดร้อนให้แก่ใจมาตลอดทำให้ใจได้หลงไปในทางที่ต่ำทรามมายาวนานเป็นปัญหาที่สะสมหมักหมมกันมานับชาติไม่ถ้วนเมื่อมาถึงชาตินี้ต้องชำระให้ปัญหาหมดไปจากใจเสียทีสติปัญญาจะพิพากษาว่าการตัดสินลงโทษให้แก่กิเลสตัณหาให้สะใจให้ใจได้มีอิสระไม่มีพันธะผูกพันกับกิเลสตัณหาอีกต่อไปเหมือนกับต้นกำเนิดของไฟเกิดขึ้นในที่ใดจะต้องดับไฟในที่นั้นไม่ปล่อยให้ไฟได้เกิดไหม้ลุกลามต่อไปไม่มีที่สิ้นสุดนี้ฉันใดไฟของราคะไฟของโทสะไฟของโมหะที่โหมทับถมใจให้มีความเดือดร้อนเป็นทุกข์อยู่ตลอดเวลาจึงเป็นหน้าที่ของสติปัญญาต้องเข้าไปแก้ไขระงับเหตุให้หมดไปใจจะได้รู้ตัวว่าถูกกิเลสตัณหาหลอกมายาวนานมีความทุกข์ทรมานเดือดร้อนที่กิเลสตัณหาให้เป็นไปเมื่อมารู้เห็นทุกข์โทษภัยในกิเลสตัณหานี้แล้วใจจะได้รู้ตัวไม่มั่วสุมลุ่มหลงอยู่กับกิเลสตัณหาอีกต่อไปเหมือนกับผู้เคยได้รับโทษภัยในหมู่คนพาลมาแล้วจะได้เป็นบทเรียนจดจำในการกระทำของกลุ่มคนพาลเหล่านั้นจะไม่เข้าใกล้มั่วสุมกับกลุ่มคนพาลอีกต่อไปนี้ฉันใดใจเมื่อถูกฤทธิ์ของกิเลสตัณหาได้พาให้เป็นทุกข์มาแล้วจะเกิดความตื่นตัวจะไม่เป็นเพื่อนเป็นมิตรกับกิเลสตัณหาอีกต่อไปจึงใช้สติปัญญาระงับเหตุแก้ไขในปัญหาให้แก่ใจให้ได้อย่าไปกลัวอิทธิพลศักดิ์ศรีของกิเลสตัณหาแต่อย่างใดบัดนี้จึงเป็นทีของสติปัญญาจะขึ้นสู่บัลลังก์ว่าการอย่างเต็มที่มีทีเด็ดแพรวพราวอย่างไรก็แสดงออกมาด้วยความกล้าหาญเหมือนเข้าสู่สนามรบแล้วก็ต้องเตรียมพร้อมในอาวุธนานาประการไม่มีในคำว่าถอยหลังให้ข้าศึกตั้งหลักได้อาวุธน้อยใหญ่มีเท่าไรจะต้องใส่กันอย่างเต็มที่มีศัตรูน้อยใหญ่ขนาดไหนจะต้องสับฟันห้ำหั่นให้เรียบราบไปจนกว่าจะได้ชนะกลับมาอย่างสง่าผ่าเผยนี้ฉันใดผู้ปฏิบัติต้องฝึกสติปัญญาศรัทธาความเพียรให้พร้อมขณะนี้ขึ้นเวทีตัวจริงไม่มีคำว่าเพื่อนไม่มีคำว่ามิตรอีกต่อไปไม่มีคำว่าแพ้ไม่มีคำว่าเสมอมีแต่ชนะอย่างเดียวกิเลสตัณหาไม่ตายเรายอมตายเราไม่ตายให้กิเลสตัณหาได้ตายไปในครั้งแรกก็ใช้สติปัญญาพิจารณาในสัจธรรมตามความเป็นจริงอยู่บ่อยๆในเมื่อกิเลสตัณหายังมาทำให้ใจได้เกิดความหลงใหลในกามคุณอยู่ไม่ยอมรับความจริงที่สติปัญญาได้อบรมสั่งสอนถ้าอย่างนี้จะไม่มีในคำว่าอภัยอีกต่อไปจะต้องใช้พระเดชแบ่งเขตที่หวงห้ามในทันทีกิเลสตัณหาเข้ามาหลอกใจเมื่อไรในเมื่อนั้นสติปัญญาก็ฟาดฟันให้แตกหักกันไปในทันทีแต่ก่อนมาหลงคิดว่าเป็นมิตรแต่บัดนี้จึงมารู้ว่าเป็นพิษภัยให้แก่ใจทำให้เกิดความทุกข์นานาประการในชาติที่ผ่านมากิเลสตัณหาได้ทำให้ใจได้รับความทุกข์มาตลอดในชาตินี้ก็มีวิธีทำให้ใจได้รับความทุกข์อีกและยังวางแผนงานที่จะทำให้ใจได้รับความทุกข์ในชาติหน้าอีกต่อไปกามตัณหาภวตัณหาและวิภวตัณหานี้เองหรือเป็นต้นเหตุให้ใจหลงผิดเกิดความลุ่มหลงหลงในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะหลงในวัตถุสมบัติและหลงไปตามกระแสโลกจึงได้เกิดความพอใจยินดีอยู่ในภพทั้งสามซึ่งเป็นผลผลิตขึ้นมาจากตัณหานี้ทั้งสิ้นมีสติปัญญาเท่านั้นที่จะแก้ไขให้ได้เกิดความรู้จริงเห็นจริงได้แต่ก่อนมากิเลสตัณหาได้อบรมสั่งสอนใจมาตลอดบัดนี้ได้ฝึกสติปัญญามาอบรมสั่งสอนใจบ้างให้ใจมีความรู้ความฉลาดรอบรู้ตามความเป็นจริงจะได้เกิดความสำนึกตื่นตัวขึ้นมาได้จะไม่หลงใหลจมอยู่ในกิเลสตัณหาดังที่เคยเป็นมาในชาติอดีตจนถึงปัจจุบันพระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช)ปธ๙ราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัด,วัดราชโอรสารามกรุงเทพฯพศ๒๕๔๘ปัญญา จินตามยปัญญา จินตามยปัญญา จินตามยปัญญา ปฏิเสธอาลัยสังขาร

     จิรัฐิติกาลอ่านว่าจิรัดถิติแปลว่าเวลาที่ยั่งยืนเวลาที่ตั้งอยู่นานคือกาลเวลาอันยาวนานใช้ในกรณีบอกให้รู้ว่ากาลเวลานั้นยาวนานมากจนไม่อาจนับหรือประมาณได้ใช้บ่งบอกเวลาที่ยาวนานปกติใช้เป็นคำสูงเช่นใช้ในคำอวยพรเป็นต้นว่าขอให้พระพุทธศาสนาดำรงคงมั่นเป็นธงชัยแห่งสยามประเทศตลอดจิรัฐิติกาลหรือขอให้เจริญด้วยอายุวรรณะสุขะพละปฏิภาณคุณสารสิริสวัสดิวิรุฬหิไพบูลย์ในพระพุทธศาสนาตลอดจิรัฐิติกาลเทอญพระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช)ปธ๙ราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัด,วัดราชโอรสารามกรุงเทพฯพศ๒๕๔๘จิรัฐิติกาล จิรัฐิติกาล จิรัฐิติกาล จิรัฐิติกาล ยาวนาน

     จากมหานิทานสูตรพระไตรปิฎกเล่มที่๑๐ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญน่าอัศจรรย์ไม่เคยมีมาข้าแต่พระองค์ผู้เจริญปฏิจจสมุบาทนี้ลึกซึ้งสุดประมาณและปรากฏเป็นของลึกก็แหละถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ยังปรากฏแก่ข้าพระองค์เหมือนเป็นของตื้นนักฯพระผู้มีพระภาคตรัสว่าเธออย่าพูดอย่างนั้นอานนท์เธออย่าพูดอย่างนั้นอานนท์ปฏิจจสมุบาทนี้ลึกซึ้งสุดประมาณและปรากฏเป็นของลึกดูกรอานนท์เพราะไม่รู้จริงเพราะไม่แทงตลอดซึ่งธรรมอันนี้หมู่สัตว์นี้จึงเกิดเป็นผู้ยุ่งประดุจด้ายของช่างหูกเกิดเป็นปมประหนึ่งกระจุกด้ายเป็นผู้เกิดมาเหมือนหญ้ามุงกระต่ายและหญ้าปล้องจึงไม่พ้นอุบายทุคติวินิบาตสงสารดูกรอานนท์เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงเกิดสังขารเพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงเกิดวิญญาณเพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูปเพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดสฬายตนะเพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะเพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนาเพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหาเพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงเกิดอุปาทานเพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงเกิดภพเพราะภพเป็นปัจจัยจึงเกิดชาติเพราะชาติเป็นปัจจัยจึงเกิดชรามรณะโสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาสฯความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ย่อมมีด้วยประการฉะนี้ฯจากปัจจัยสูตรพระไตรปิฎกเล่มที่๑๖ภิกษุทั้งหลายความจริงแท้ความไม่คลาดเคลื่อนความไม่เป็นอย่างอื่นมูลเหตุอันแน่นอนในธาตุอันนั้นดังพรรณนามาฉะนี้แลเราเรียกว่าปฏิจจสมุปบาทปฏิจจสมุปบาทพุทธวจนเกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาท

     จะส่งผลให้บุคคลนั้นๆต้องไปเกิดยังนรกอเวจีเพื่อใช้กรรมที่ตนเองก่อไว้หลายร้อยชาติค่ะ มิจฉาทิฐิ มิจฉาทิฐิ

     จากศรีลังกาภิกษุณีสงฆ์ได้ไปสืบสายไว้ในจีนไต้หวันและอื่นๆอีกมากจนกระทั่งพุทธศาสนาที่อินเดียและศรีลังกาเสื่อมลงลงไปในช่วงหลังทำให้ภิกษุณีฝ่ายเถรวาทซึ่งมีศีลและข้อปฏิบัติที่ยุ่งยากไม่สามารถรักษาวงศ์ของภิกษุณีไว้ได้จึงทำให้ไม่มีผู้สืบทอดการบวชเป็นภิกษุณีสายเถรวาทในปัจจุบันนี้ค่ะ สิกขมานา ภิกษุณี ภิกษุณี ภิกษุณี สืบสายไว้ในจีน

     จบแล้วค่ะ

     จิตเศร้าหมองก็จิตติดอยู่กับอกุศลกรรมบถ๑๐อยายมุขมิจฉาวณิชาไรเงี้ยค่ะชมรมพุทธเบญจจินดา๑๒กุมภาพันธ์๒๕๕๗ตายแล้วจะเป็นอย่างไรจิตเศร้าหมองจิตอกุศลกรรมบถ๑๐

     จริงจริงลบล้างไม่ได้สิคะแต่ทำให้เจือจางได้ค่ะ บุญบาป บุญ การอธิษฐาน บาปเจือจาง

     จริงเหรอคะแล้วทำบุญยังไงคะ ไม่รวยก็ทำบุญได้ ไม่รวย ทำบุญ ทำบุญได้อย่างไร ไม่รวยแล้วจะทำบุญได้อย่างไร สถานะสงสัย



๒๓ ความรู้ต่อไป

| | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | ก ถึง ฮ