| | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | ก ถึง ฮ

     อาบัติแปลว่าการต้องการล่วงละเมิดค่ะ พระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช)ปธ๙ราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัด,วัดราชโอรสารามกรุงเทพฯพศ๒๕๔๘อาบัติ อาบัติ อาบัติ อาบัติ การล่วงละเมิด

     อาบัติทุกกฏเป็นอาบัติที่เบาเมื่อต้องเข้าแล้วก็สามารถแก้ไขได้ตามพระวินัยด้วยแสดงแสดงอาบัติต่อหน้าพระภิกษุด้วยกันด้วยการมีความจริงใจที่จะสำรวมระวังต่อไปแต่ถ้าไม่แก้ไขด้วยการปลงอาบัติก็จะเป็นเครื่องกั้นการบรรลุมรรคผลนิพพานกั้นสุคติภูมิด้วยค่ะ อาบัติทุกกฏ อาบัติทุกกฏ อาบัติทุกกฏ เบา

     อามิสทานคือการให้วัตถุสิ่งของพระพุทธเจ้าตรัสว่าข้าว(อาหาร)และน้ำเป็นทรัพย์โดยปรมัตถ์สิ่งอื่นเป็นทรัพย์โดยบัญญัติเพราะเกิดจากการสมมุติของของคนที่ทำให้เกิดความจำเป็นเช่นเสื้อผ้าถ้าใส่กันอายเงินทองเพชรที่กินไม่ได้และไม่มีประโยชน์อามิสทาน

     อามิสบูชาแปลว่าบูชาด้วยอามิสบูชาด้วยสิ่งของค่ะ พระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช)ปธ๙ราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัด,วัดราชโอรสารามกรุงเทพฯพศ๒๕๔๘อามิสบูชา อามิสบูชา

     อายตนะอ่านว่าอายะตะนะแปลว่าที่เชื่อมต่อเครื่องติดต่อค่ะ พระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช)ปธ๙ราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัด,วัดราชโอรสารามกรุงเทพฯพศ๒๕๔๘อายตนะ อายตนะ อายตนะ อายตนะ แปลว่าที่เชื่อมต่อ

     อายตนะภายนอกหมายถึงสื่อเชื่อมต่อที่อยู่นอกตัวคนบ้างเรียกว่าอารมณ์๖มี๖คือรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์ทั้งหมดนี้เป็นคู่กับอายตนภายในค่ะอายตนะภายนอกนี้ยังเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอารมณ์เมื่อตาเห็นรูปเรียกว่าสัมผัสรู้ว่ามีการเห็นเรียกว่าวิญญาณเกิดความรู้สึกขึ้นเมื่อตาเห็นรูปเรียกว่าเวทนาค่ะ พระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช)ปธ๙ราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัด,วัดราชโอรสารามกรุงเทพฯพศ๒๕๔๘อายตนะ อายตนะ

     อายตนะภายในหมายถึงสื่อเชื่อมต่อที่อยู่ในตัวคนบ้างเรียกว่าอินทรีย์๖มี๖คือตาหูจมูกลิ้นกายใจทั้งหมดนี้เป็นที่เชื่อมต่อกับอายตนะภายนอกค่ะ พระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช)ปธ๙ราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัด,วัดราชโอรสารามกรุงเทพฯพศ๒๕๔๘อายตนะ อายตนะ

     อาราธนาอ่านว่าอาราดทะนาแปลว่าการทำให้ยินดีทำให้ดีใจทำให้หายโกรธทำให้ชอบทำให้สำเร็จค่ะ พระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช)ปธ๙ราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัด,วัดราชโอรสารามกรุงเทพฯพศ๒๕๔๘อาราธนา อาราธนา

     อาราธนาในคำวัดใช้ในความหมายว่าเชิญเชื้อเชิญอ้อนวอนร้องขอภิกษุสามเณรให้ยินดีพอใจทำในสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือร้องขอให้ทำสิ่งใดให้สำเร็จอย่างอาราธนาศีลคือร้องขอให้พระให้ศีลอาราธนาพระปริตรคือร้องขอให้พระสวดมนต์อาราธนาธรรมคือร้องขอให้พระแสดงธรรมอาราธนาไปทำบุญบ้านคือนิมนต์พระไปทำพิธีที่บ้านค่ะ พระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช)ปธ๙ราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัด,วัดราชโอรสารามกรุงเทพฯพศ๒๕๔๘อาราธนา อาราธนา

     อาสวกิเลสคือกิเลสที่หมักหมมนอนเนื่องทับถมอยู่ในจิตชุบย้อมจิตให้เศร้าหมองให้ขุ่นมัวให้ชุ่มอยู่เสมอเรียกย่อว่าอาสวะก็ได้ค่ะมี๔อย่างคือกามได้แก่ความติดใจรักใคร่อยู่ในกามคุณภพได้แก่ความติดอยู่ในภพความอยากเป็นโน่นเป็นนี่ทิฏฐิได้แก่ความเห็นผิดความหัวดื้อหัวรั้นอวิชชาได้แก่ความไม่รู้จริงความลุ่มหลงมัวเมา พระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช)ปธ๙ราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัด,วัดราชโอรสารามกรุงเทพฯพศ๒๕๔๘อาสวกิเลส อาสวกิเลส อาสวกิเลส อาสวกิเลส กิเลสที่หมักหมมในจิต

     อาสวกิเลสอ่านว่าอาสะวะแปลว่ากิเลสที่หมักดองอยู่ในจิตค่ะ พระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช)ปธ๙ราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัด,วัดราชโอรสารามกรุงเทพฯพศ๒๕๔๘อาสวกิเลส อาสวกิเลส อาสวกิเลส อาสวกิเลส แปลว่ากิเลสที่หมักดองอยู่ในจิต

     อิฏฐารมณ์คือสิ่งที่คนปรารถนาต้องการอยากได้อยากมีอยากพบเห็นได้แก่กามคุณ๕คือรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสที่ดีชวนให้รักให้ชอบใจและโลกธรรมในส่วนที่ดี๔คือลาภยศสรรเสริญสุขเป็นสิ่งที่เกิดได้แก่ทุกคนแต่มีความจริงว่าเป็นสิ่งไม่เที่ยงทนอยู่ในสภาพนั้นๆไม่ได้นานมีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดาเกิดมีได้ก็กลับกลายเป็นอื่นไปได้ค่ะ พระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช)ปธ๙ราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัด,วัดราชโอรสารามกรุงเทพฯพศ๒๕๔๘อนิฏฐารมณ์ อิฏฐารมณ์ อิฏฐารมณ์ อิฏฐารมณ์ สิ่งที่คนปรารถนา

     อิฏฐารมณ์อ่านว่าอิดถารมแปลว่าอารมณ์ที่น่าปรารถนาตรงข้ามกับอนิฏฐารมณ์อารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนาค่ะ พระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช)ปธ๙ราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัด,วัดราชโอรสารามกรุงเทพฯพศ๒๕๔๘อนิฏฐารมณ์ อิฏฐารมณ์ อิฏฐารมณ์ อิฏฐารมณ์ อารมณ์ที่น่าปรารถนา

     อินทรียสังวรศีลหมายถึงศีลคือความสำรวมอินทรีย์๖ระวังไม่ให้บาปอกุศลธรรมเกิดขึ้นได้ในขณะที่รับรู้อินทรีย์ทั้งหกคือตาหูจมูกลิ้นกายและใจอินทรียสังวรศีล อินทรียสังวรศีล อินทรียสังวรศีล บาปอินทรีย์๖

     อุคคฏิตัญญูพวกที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียวเป็นสัมมาทิฏฐิเมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็วเปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำเมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานทันทีอุคคฏิตัญญู

     อุคหนิมิตคือเครื่องหมายที่กำหนดได้แก่อารมณ์ที่เจนตาเจนใจหลังจากทีได้เพ่งพิจารณาบริกรรมนิมิตเช่นเพ่งกสิณแล้วแม้หลับตาอยู่ก็สามารถเห็นนิมิตนั้นได้ชัดเจนเหมือนลืมตาเห็นเรียกว่านิมิตติดตาก็มีอุคหนิมิต

     อุจเฉททิฐิคือความเห็นที่ว่าสัตว์โลกทั้งปวงเมื่อตายหรือละจากอัตภาพนี้ไปแล้วก็เป็นอันขาดสูญไม่มีอะไรที่จะไปเกิดหรือไปปฏิสนธิในภพอื่นอีกสิ่งที่เรียกว่าอาตมันหรืออัตตาชีวะเจตภูติก็สูญไปเช่นเดียวกันเรียกว่าขาดสูญไปทั้งหมดไม่มีอะไรเหลือให้ไปเกิดในสุคติหรือทุคติอีกค่ะ พระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช)ปธ๙ราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัด,วัดราชโอรสารามกรุงเทพฯพศ๒๕๔๘อุจเฉททิฐิ อุจเฉททิฐิ อุจเฉททิฐิ อุจเฉททิฐิ ตายแล้วสูญ

     อุจเฉททิฐิอ่านว่าอุดเฉทะทิดถิแปลว่าความเห็นว่าขาดสูญเป็นความเห็นที่ปฏิเสธหรือตรงกันข้ามกับสัสสตทิฐิค่ะ พระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช)ปธ๙ราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัด,วัดราชโอรสารามกรุงเทพฯพศ๒๕๔๘อุจเฉททิฐิ อุจเฉททิฐิ อุจเฉททิฐิ อุจเฉททิฐิ ความเห็นว่าขาดสูญ

     อุดมการณ์อันสูงสุดของพระภิกษุและบรรพชิตในพระพุทธศาสนานี้อันมีลักษณะที่แตกต่างจากศาสนาอื่นอันอาจเรียกได้ว่าอุดมการณ์๔ของพระพุทธศาสนาได้แก่๑ความอดทนอดกลั้นเป็นสิ่งที่นักบวชในศาสนานี้พึงยึดถือและเป็นสิ่งที่ต้องใช้เมื่อประสบกับสิ่งที่ไม่ชอบใจทุกอย่างที่ต้องเจอในชีวิตนักบวชเช่นประสงค์ร้อนได้เย็นประสงค์เย็นได้ร้อน๒การมุ่งให้ถึงพระนิพพานเป็นเป้าหมายหลักของผู้ออกบวชมิใช่สิ่งอื่นนอกจากพระนิพพาน๓พระภิกษุและบรรพชิตในพระธรรมวินัยนี้ไม่พึงทำผู้อื่นให้ลำบากด้วยการเบียดเบียนทำความทุกข์กายหรือทุกข์ทางใจไม่ว่าจะในกรณีใดๆ๔พึงเป็นผู้มีจิตใจสงบจากอกุศลวิตกทั้งหลายมีความโลภโกรธหลงเป็นต้น โอวาทปาติโมกข์ โอวาทปาติโมกข์

     อุตริมนุสธรรมหรืออุตริมนุษยธรรมแปลว่าธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์หรือธรรมของมนุษย์ผู้ยวดยิ่งค่ะ พระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช)ปธ๙ราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัด,วัดราชโอรสารามกรุงเทพฯพศ๒๕๔๘อุตริมนุสธรรม อุตริมนุสธรรม

     อุตุนิยามคือกฎธรรมชาติที่ครอบคลุมความเป็นไปของปรากฏการณ์ในธรรมชาติเกี่ยวกับวัตถุที่ไม่มีชีวิตทุกชนิดหลักของอุตุนิยามตามแนวพระพุทธศาสนามุ่งให้ผู้ที่เข้าใจเกี่ยวกับกฎธรรมชาติที่ว่าด้วยวัตถุอุตุนิยามคือลักษณะสภาวะต่างๆของธาตุทั้ง๕คือดินน้ำลมไฟและอากาศซึ่งก็คือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่างๆเมื่อมีเหตุปัจจัยเพียงพอก็จะเป็นไปโดยไม่มีใครเป็นผู้กำหนดหรือห้ามได้เช่นการที่จะเกิดฝนตกก็มีเหตุปัจจัยเพียงพอให้เกิดฝนตกเช่นการระเหยของน้ำบนดินการรวมตัวของก้อนเมฆการเกิดลมพัดการกระทบกับความเย็นก่อให้เกิดฝนตกเป็นต้นตลอดจนปรากฏการณ์ทางวัตถุอื่นๆเช่นการเคลื่อนที่ของจักรวาลแรงดึงดูดแผ่นดินไหวฟ้าผ่าเป็นต้นซึ่งปรากฏการณ์เหล่านี้พระพุทธศาสนาถือว่าเกิดขึ้นเพราะวัตถุธาตุต่างๆคือดินน้ำลมไฟอากาศปรับเปลี่ยนสภาวการณ์ของตัวเองเพราะอิทธิพลจากการปรับสถานะธาตุตามอุณหภูมิคือความร้อนและเย็นดังนั้นกฎข้อนี้จึงชื่อว่าอุตุนิยาม(อุตุในพระไตรปิฎกแปลว่าพลังงานฤดูความร้อนเย็น)อุตุนิยาม

     อุทกทานมีความหมายว่าให้ทานด้วยน้ำหรือให้น้ำเป็นทาน อุทกทาน อุทกทาน

     อุทธัจจะเป็นความฟุ้งซ่านหรือธรรมชาติที่จับอารมณ์ไม่มั่น โมหะ อุทธัจจะ



๒๓ ความรู้ก่อนหน้า |๒๓ ความรู้ต่อไป

| | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | ก ถึง ฮ