| | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | ก ถึง ฮ

     อุปกิเลสทั้ง๑๖ประการนี้แม้ประการใดประการหนึ่งเมื่อเกิดขึ้นในใจแล้วก็จะทำให้ใจสกปรกไม่ผ่องใสทันทีและจะส่งผลให้เจ้าของใจหมดความสุขกายสบายใจเกิดความเร่าร้อนหรือเกิดความฮึกเหิมทะนงตัวเต้นไปตามจังหวะที่อุปกิเลสนั้นๆบงการให้เป็นไปค่ะ พระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช)ปธ๙ราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัด,วัดราชโอรสารามกรุงเทพฯพศ๒๕๔๘อุปกิเลส อุปกิเลส อุปกิเลส อุปกิเลส ทำให้ใจสกปรกไม่ผ่องใส

     อุปกิเลสหมายถึงสิ่งที่ทำให้ใจเศร้าหมองขุ่นมัวไม่แจ่มใสทำให้ใจหม่นไหม้ทำให้ใจเสื่อมทรามกล่าวโดยรวมก็คือสิ่งที่ทำให้ใจสกปรกไม่สะอาดบริสุทธิ์นั่นเองค่ะ พระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช)ปธ๙ราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัด,วัดราชโอรสารามกรุงเทพฯพศ๒๕๔๘อุปกิเลส อุปกิเลส อุปกิเลส อุปกิเลส สิ่งที่ทำให้ใจเศร้าหมอง

     อุปกิเลสอ่านว่าอุปะกิเหลดแปลว่าธรรมชาติที่เข้าไปทำให้ใจเศร้าหมองเครื่องทำให้ใจเศร้าหมองค่ะ พระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช)ปธ๙ราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัด,วัดราชโอรสารามกรุงเทพฯพศ๒๕๔๘อุปกิเลส อุปกิเลส หิริ หิริ เครื่องทำให้ใจเศร้าหมอง

     อุปกิเลสแสดงไว้๑๖ประการคือความเพ่งเล็งอยากได้ไม่เลือกที่ความพยาบาทความโกรธความผูกเจ็บใจความลบหลู่บุญคุณความตีเสมอความริษยาความตระหนี่ความเจ้าเล่ห์ความโอ้อวดความหัวดื้อถือรั้นความแข่งดีความถือตัวความดูหมิ่นความมัวเมาความประมาทเลินเล่อ พระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช)ปธ๙ราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัด,วัดราชโอรสารามกรุงเทพฯพศ๒๕๔๘อุปกิเลส อุปกิเลส อุปกิเลส อุปกิเลส แสดงไว้๑๖ประการ

     อุปธิวิเวกได้แก่ธรรมอันเป็นที่สงบระงับอุปธิทั้งปวงหมายเอาผู้ฝึกฝนทางปัญญาจนเอาชนะกิเลสอนุสัยและสังโยชน์อันเหตุสร้างกรรมทางกายวาจา

     อุปัชฌาย์อุปัดชาหรืออุบปัดชาได้ทั้งนั้นค่ะความหมายโดยพยัญชนะว่าผู้เข้าไปเพ่งค่ะ อุปัชฌาย์ อุปัชฌาย์ อุปัชฌาย์ อุปัชฌาย์ แปลว่าผู้เข้าไปเพ่ง

     อุปาทานทั้ง๔ล้วนเกิดขึ้นและเป็นไปอยู่ตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัวเริ่มเป็นไปตั้งแต่เกิดจวบจนปัจจุบันหรือเป็นไปดังนี้เสียนานจนไม่รู้ว่ากี่สักภพกี่ชาติมาแล้วนั้นโดยไม่เคยคิดที่จะหยุดยั้งกระบวนการจิตเหล่านี้เลยเนื่องเพราะความไม่รู้หรืออวิชชานั่นเองจึงปล่อยให้เกิดขึ้นและเป็นไปตามธรรมชาติของปุถุชนหรือสรรพสัตว์ทั่วไปดังนั้นอุปาทานนี้จึงมีอยู่แล้วตามที่ได้สั่งสมมาแต่ช้านานดังข้างต้นแต่ในสภาพที่นอนเนื่องอยู่ยังไม่ได้ถูกกระตุ้นเร่งเร้าด้วยเหตุปัจจัยใดๆจึงอยู่ในสภาพที่เรียกกันทั่วๆไปว่าดับอยู่กล่าวคือนอนเนื่องอยู่อยู่ในสภาพของอาสวะกิเลสหรือกิเลสที่นอนเนื่องซึมซาบย้อมจิตนั่นเองเมื่ออุปาทานที่นอนเนื่องในรูปของอาสวะกิเลสชนิดหนึ่งเกิดการถูกกระตุ้นปลุกเร้าเหตุปัจจัยโดยตรงที่ปลุกเร้าก็คือตัณหาอันเป็นไปตามวงจรปฏิจจสมุปบาทนั่นเองกล่าวคือเมื่อเกิดตัณหาความอยากหรือไม่อยากในเวทนาความรู้สึกรับรู้อันเกิดแต่การผัสสะอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นในจิตแล้วสิ่งเหล่านั้นยังเป็นเพียงแค่ความปรารถนาอันเกิดมาแต่เวทนาแต่ยังไม่เกิดขึ้นหรือเป็นเพียงนามธรรมอยู่ยังไม่สัมฤทธิ์ผลโดยธรรมชาติของจิตจึงต้องเกิดปฏิกริยาต่อตัณหาเหล่านั้นตามอุปาทานที่สั่งสมไว้ดังข้างต้นโดยการตั้งเป้าหมายหรือการที่ต้องยึดมั่นก็เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายหรือสัมฤทธิ์ผลเป็นตัวเป็นตนขึ้นตามความต้องการให้เป็นไปตามตัณหาความปรารถนาของตัวของตนนั้นๆที่เกิดขึ้นก็เพื่อให้ตัวตนของตนได้รับความพึงพอใจจากการได้รับการตอบสนองอันเป็นไปตามตัณหาความอยากนั่นเองอันเป็นพื้นฐานโดยธรรมชาติในการดำรงคงชีวิตอย่างหนึ่งของสรรพสัตว์ทั้งหลายและในทางธรรมะก็จัดว่าสิ่งเหล่านี้ก็เป็นธรรมชาติเพียงแต่เป็นธรรมชาติที่ก่อให้เกิดทุกข์ขึ้นของสรรพสัตว์โดยถ้วนหน้าด้วยเช่นกันเมื่ออุปาทานเกิดขึ้นที่หมายถึงอุปาทานที่สั่งสมนอนเนื่องอยู่ได้ถูกปลุกเร้าให้ผุดขึ้นหรือเกิดขึ้นด้วยตัณหาเป็นปัจจัยแล้วสิ่งต่างๆที่ดำเนินเกิดขึ้นและเป็นไปต่อจากนั้นในจิตจึงย่อมถูกครอบงำไว้ด้วยกำลังของอุปาทานที่มีจุดมุ่งหมายอยู่ที่ความพึงพอใจของตัวของตนเป็นสำคัญโดยไม่รู้ตัวจึงไม่เห็นสิ่งต่างๆตามที่มันเกิดขึ้นและเป็นไปตามความเป็นจริงแต่เห็นและอยากให้เป็นไปตามความพึงพอใจของตัวของตนเป็นสำคัญแต่ฝ่ายเดียวและโดยไม่รู้ตัวด้วยอวิชชาจึงผูกมัดสัตว์ไว้กับกองทุกข์มาตลอดกาลนานนี่แหละค่ะ อุปาทาน อุปาทาน อุปาทาน ของเราทุกข์

     อุเบกขาหมายถึงความวางเฉยแบบวางใจเป็นกลางๆโดยไม่เอนเอียงเข้าข้างเพราะชอบเพราะชังเพราะหลงและเพราะกลัวเช่นไม่เสียใจเมื่อคนที่ตนรักถึงความวิบัติหรือไม่ดีใจเมื่อศัตรูถึงความวิบัติมิใช่วางเฉยแบบไม่แยแสหรือไม่รู้ไม่ชี้ทั้งๆที่สามารถช่วยเหลือได้นะคะ พระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช)ปธ๙ราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัด,วัดราชโอรสารามกรุงเทพฯพศ๒๕๔๘อุเบกขา อุเบกขา อุเบกขา อุเบกขา ความวางเฉยแบบวางใจเป็นกลาง

     อุเบกขาแปลว่าความวางเฉยความวางใจเป็นกลางค่ะ พระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช)ปธ๙ราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัด,วัดราชโอรสารามกรุงเทพฯพศ๒๕๔๘อุเบกขา อุเบกขา อุเบกขา อุเบกขา แปลว่าความวางเฉย

     อุโบสถอ่านว่าอุโบสดถือเป็นอาคารที่สำคัญภายในวัดเนื่องจากเป็นสถานที่ที่พระภิกษุสงฆ์ใช้ทำสังฆกรรมซึ่งแต่เดิมในการทำสังฆกรรมของพระภิกษุสงฆ์จะใช้เพียงพื้นที่โล่งๆที่กำหนดขอบเขตพื้นที่สังฆกรรมโดยการกำหนดตำแหน่งสีมาเท่านั้นแต่ในปัจจุบันจากการมีผู้บวชมากขึ้นอีกทั้งภายในพระอุโบสถมักประดิษฐานพระประธานที่เป็นพระพุทธรูปองค์สำคัญๆทำให้มีผู้มาสักการบูชาและร่วมทำบุญเป็นจำนวนมากพระอุโบสถจึงถูกสร้างขึ้นเป็นอาคารถาวรและมักมีการประดับตกแต่งอย่างสวยงามค่ะและยังมีอีกมีหลายความหมายด้วยนะคะ พระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช)ปธ๙ราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัด,วัดราชโอรสารามกรุงเทพฯพศ๒๕๔๘อุโบสถ อุโบสถ อุโบสถ อุโบสถ พระภิกษุสงฆ์ใช้ทำสังฆกรรม

     อุโบสถกรรมหมายถึงการสวดพระปาติโมกข์ทุกกึ่งเดิอนของพระสงฆ์คือพระวินัยกำหนดไว้ว่าพระสงฆ์จะต้องทำสังฆกรรมสวดพระปาติโมกข์ที่โบสถ์ทุกวันขึ้นและแรม๑๕ค่ำหรือแรม๑๔ค่ำในเดือนขาดเรียกการไปทำสังฆกรรมนั้นว่าลงอุโบสถค่ะโดยถ้ามีภิกษุครบองค์สงฆ์คือ๔รูปขึ้นไปทำร่วมกันโดยสวดพระปาติโมกข์เรียกว่าสังฆอุโบสถถ้ามีไม่ครบ๔คือมี๒หรือ๓รูปทำโดยไม่ต้องสวดพระปาติโมกข์เป็นแต่บอกความบริสุทธิ์แก่กันและกันเรียกว่าคณอุโบสถหรือปาริสุทธิอุโบสถแต่ถ้ามีเพียงรูปเดียวทำโดยการกำหนดใจว่าเป็นวันอุโบสถเรียกว่าอธิษฐานอุโบสถหรือปุคคลอุโบสถค่ะ พระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช)ปธ๙ราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัด,วัดราชโอรสารามกรุงเทพฯพศ๒๕๔๘อุโบสถกรรม อุโบสถกรรม

     อุโบสถกรรมอ่านว่าอุโบสดถะกำแปลว่าการทำอุโบสถค่ะ พระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช)ปธ๙ราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัด,วัดราชโอรสารามกรุงเทพฯพศ๒๕๔๘อุโบสถกรรม อุโบสถกรรม

     อโนตตัปปะเป็นธรรมชาติที่ไม่กลัวเกรงต่อผลของบาป โมหะ อโนตตัปปะ

     เป็นคำที่ใช้นำหน้ามาจากภาษาบาลีและสันสกฤตแปลว่ายิ่งใหญ่ทับเช่นอธิปัญญาแปลว่าปัญญายิ่งค่ะ อธิปัญญาสิกขา อธิปัญญาสิกขา

     เป็นศาลตั้งอยู่ริมถนนราชดำเนินในใกล้โรงแรมรัตนโกสินทร์และสะพานผ่านพิภพลีลาสร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นปูนปั้นรูปพระแม่ธรณีกำลังบีบมวยผมมีน้ำสะอาดไหลออกมาจากปลายมวยผมสามารถใช้ดื่มกินได้ค่ะถูกสร้างขึ้นจากพระราชดำริของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถเพื่อแจกจ่ายน้ำดื่มสะอาดบริสุทธิ์ให้ผู้คนทั่วไปโดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะกำลังทรงพระยศเป็นเจ้าฟ้าวชิราวุธฯอยู่นั้นได้พระราชทานคำแนะนำให้สร้างอุทกทานเป็นรูปพระแม่ธรณีบีบมวยผมปั้นขึ้นด้วยฝีพระหัตถ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ร่วมกับพระยาจินดารังสรรค์แล้วเสร็จทำพิธีเปิดในวันที่๒๗ธันวาคมพศ๒๔๖๐อันเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถค่ะในสมัยสงครามโลกครั้งที่๒เป็นยุคที่ข้าวยากหมากแพงอุทกทานนี้ถูกชาวบ้านเข้ามาขโมยเอาอุปกรณ์ท่อน้ำต่างๆไปจนทำให้ใช้การไม่ได้และได้รับการซ่อมแซมให้ใช้ได้เหมือนเดิมในรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ธนะรัชต์แต่สถานที่นี้ก็ไม่ได้ใช้เป็นที่แจกจ่ายน้ำสะอาดอีกต่อไปคงเหลือแต่ศาลศักดิ์สิทธิ์ที่ให้ผู้คนมาสักการะค่ะบริเวณลานอุทกทานเคยมีแผงขายหนังสือจำนวนหลายสิบร้านจนเป็นแหล่งขายหนังสือที่สำคัญก่อนที่จะถูกสำนักงานกรุงเทพมหานครให้ย้ายไปอยู่ที่สวนจตุจักรในปีพศ๒๕๒๘รูปพระแม่ธรณีบีบมวยผมแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์จึงถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของหลายหน่วยงานรวมทั้งเป็นเครื่องหมายของการประปาและพรรคประชาธิปัตย์ด้วยค่ะ อุทกทาน อุทกทาน

     เพื่อพระที่ออกเผยแผ่พระพุทธศาสนาซึ่งมีเป็นจำนวนมากให้ใช้วิธีการเหมือนกันจะได้เป็นไปในแนวทางเดียวกันและถูกต้องเป็นธรรมค่ะ โอวาทปาติโมกข์ โอวาทปาติโมกข์

     เสขะแปลว่าผู้ยังต้องศึกษาอยู่คือยังต้องศึกษาไตรสิกขาคือศีลสมาธิปัญญาเพื่อบรรลุมรรคผลที่สูงขึ้นไปอีกเรียกเต็มว่าพระเสขะหรือเสขบุคคลเสขะคือพระอริยบุคคลที่ยังไม่ได้บรรลุอรหันตผลหรือยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ได้แก่พระโสดาบันพระสกทาคามีและพระอนาคามีเสขะหากได้บรรลุอรหันตผลเป็นพระอรหันต์แล้วก็เป็นอันพ้นจากความเป็นเสขะและได้ชื่อว่าใหม่ว่าอเสขะอเสขะแปลว่าผู้ไม่ต้องศึกษาอีกคือไม่ต้องศึกษาไตรสิกขาคือศีลสมาธิปัญญาอีกต่อไปเพราะได้ศึกษาจบโดยได้บรรลุอรหันตผลแล้วเรียกเต็มว่าพระอเสขะหรืออเสขบุคคลอเสขะได้แก่พระอริยบุคคลระดับสูงสุดคือพระอรหันต์ผู้เสร็จกิจการศึกษาไตรสิกขาแล้วผู้ไม่มีกิจที่จะต้องบำเพ็ญเพื่อละกิเลสอีก พระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช)ปธ๙ราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัด,วัดราชโอรสารามกรุงเทพฯพศ๒๕๔๘อริยบุคคล อริยบุคคล อริยบุคคล อริยบุคคล ยังต้องศึกษาอยู่

     แบ่งเป็น๒ประเภทค่ะอาบัติ อาบัติ อาบัติ ๒ประเภท

     แบ่งเป็น๒อย่างคืออายตนะภายในและอายตนะภายนอกค่ะ พระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช)ปธ๙ราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัด,วัดราชโอรสารามกรุงเทพฯพศ๒๕๔๘อายตนะ อายตนะ อายตนะ อายตนะ ภายในและภายนอก

     แปลว่าตัวตนค่ะ อัตตา อัตตา อัตตา อัตตา ตัวตน

     แปลว่าเป็นต้นค่ะ วิปัสสนากรรมฐาน อารมณ์ของวิปัสสนา

     แปลว่าบทสวดเริ่มต้นอะค่ะ พระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช)ปธ๙ราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัด,วัดราชโอรสารามกรุงเทพฯพศ๒๕๔๘อนุโมทนา อนุโมทนา อนุโมทนารัมภกถา อนุโมทนา บทสวดเริ่มต้น

     แปลเป็นไทยได้ว่า"ความจัญไรทั้งปวงจงบำราศไปโรคทั้งปวงจงหายไปอันตรายอย่ามีแก่ท่านขอท่านจงเป็นผู้มีความสุขมีอายุยืนธรรม๔ประการคืออายุวรรณะสุขะพละย่อมเจริญแก่บุคคลผู้มีการอภิวาทเป็นปรกติอ่อนน้อมต่อผู้เจริญเป็นนิตย์"ค่ะ พระธรรมกิตติวงศ์(ทองดีสุรเตโช)ปธ๙ราชบัณฑิตพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัด,วัดราชโอรสารามกรุงเทพฯพศ๒๕๔๘อนุโมทนา อนุโมทนา



๒๓ ความรู้ก่อนหน้า |๒๓ ความรู้ต่อไป

| | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | ก ถึง ฮ