| | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | ก ถึง ฮ

      คนธรรมดาตรัสรู้ได้หรือไม่ คนธรรมดา คน ดีใจตรัสรู้ คนกับมนุษย์ต่างกันอย่างไร

     บีบอกได้ คนธรรมดาตรัสรู้ได้หรือไม่ คนธรรมดา คน ตรัสรู้ คนกับมนุษย์ต่างกันอย่างไร

     ก็ดีแล้วหน่ะเหรอคะประเด็นคือบรรลุธรรมไม่ได้นี่สิคะอยากเกิดเป็นบรรลุธรรมไม่ได้

     ก็ต้องศีล๕เลยค่ะศีลยิ่งครบก็ยิ่งได้ความเป็นมนุษย์มากตามกันไปแหละค่ะแต่ถ้าจะเป็นยอดมนุษย์นี่ต้องทำอย่างไรน้า~ทำไงให้ได้เกิดเป็นคนศีล๕มนุษย์ความเป็นมนุษย์ ทำยังไงถึงจะเป็นยอดมนุษย์

     คนนี่ข้างนอกเหมือนมนุษย์เลยแหละค่ะแต่ไม่ทราบศีล๕ครบป่าวนะคะมนุษย์มนุษย์มนุษย์ศีล๕ครบ

     งั้นก็เป็นคนไม่ปกติค่ะคนไม่ปกติ

     พวกพรหมเค้าลงมาเกิดเป็นมนุษย์แบบโอปปาติกะหน่ะค่ะมนุษย์สมัยต้นกัลป์มนุษย์มนุษย์โอปปาติกะ

     มนุษย์ก็คนที่มีศีล๕ครบหน่ะสิคะมนุษย์มนุษย์มนุษย์ศีล๕

     มีสิคะชัดเลยก็พวกเปรตสัตว์นรกเทวดาไรงี้ก็เหมือนกันค่ะโอปปาติกะโอปปาติกะโอปปาติกะเปรตเทวดา

     สิทธิ์ในการตัดสินใจหน่ะสิคะจะทำอะไรไม่ทำอะไรเดินทางไหนเชื่ออะไรใครคนมีสิทธิ์นั้นเต็มที่ค่ะคนคนคนตัดสินใจ

     เกิดมาก็โตเต็มที่เลยหน่ะค่ะมนุษย์สมัยต้นกัลป์มนุษย์มนุษย์เกิดโตเลย

     กิตติศัพท์ในการทำนุบำรุงการพระพุทธศาสนาในลังกาทวีปเลื่องลือมาจนถึงดินแดนพม่าในสมัยของพระเจ้านรปติสิทธุแห่งอาณาจักรพุกามได้อาราธนาให้พระมหาสังฆปรินายกพุกามซึ่งมีนามว่าพระอุตราชีวมหาเถระเป็นสมณทูตไปสืบพระพุทธศาสนาในลังกาทวีปเมื่อพศ๑๗๓๓ ในจารึกวัดกัลยาณีกล่าวไว้ว่าเมื่อคราวพระมหาเถระอุตราชีวะไปเมืองลังกาครั้งนั้นมีเด็กมอญชาวเมืองพสิมคนหนึ่งได้ถวายตัวเป็นศิษย์แล้วบวชเป็นสามเณรมีนามปรากฏว่าฉปัฎได้บวชติดตามท่านไปลังกาด้วยครั้นเมื่อพระมหาเถระอุตราชีวะจะกลับเมืองพุกามสามเณรฉปัฎขออยู่เล่าเรียนที่เมืองลังกาเมื่ออายุครบบวชก็อุปสมบทเป็นพระภิกษุในวงศ์ของคณะสงฆ์ลังกาและได้เล่าเรียนศึกษาพระธรรมวินัยตามลัทธิที่สังคายนาครั้งพระเจ้าปรักกรมพาหุจนเชี่ยวชาญรอบรู้แตกฉานเมื่อบวชครบ๑๐พรรษาบรรลุเถรภูมิเป็นพระเถระจึงได้ชักชวนเพื่อนสหธรรมิกภิกษุที่ได้เล่าเรียนและเป็นพระมหาเถรภิกษุด้วยกันอีก๔รูปมีนามว่าพระสีวลีชาวลิตถิคามหรือลังกาพระตามะลินทะพระโอรสของพระเจ้ากรุงกัมโพชพระอานันทะชาวเมืองกาญจนบุรีหรือปัจจุบันคอนชิวรัมเมืองมัทราษฎร์ในอินเดียใต้และพระราหุลชาวลังกาจาริกโดยสารเรือมายังเมืองพสิมแล้วขึ้นต่อไปยังเมืองพุกาม พระเถระ๕องค์ที่บวชมาจากลังกาเมื่อเห็นวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ในเมืองพม่าผิดกับพระสงฆ์ลังกามากนักจึงไม่ยอมร่วมลงสังฆกรรมกับพระสงฆ์ในคณะพื้นเมืองทำให้พระสงฆ์ฝ่ายเถรวาทในเมืองพุกามเกิดเป็น๒นิกายแยกกันลงสังฆกรรม พระสงฆ์ลังกาวงศ์นั้นเป็นพระมหาเถระสำรวมสังวรวัตรปฏิบัติเคร่งครัดผิดกับพระสงฆ์ในพื้นเมืองสมัยนั้นทำให้เมื่อพระมหาเถระทั้ง๕องค์ได้ศึกษาภาษาพม่าจนสามารถสั่งสอนชาวเมืองได้ก็ทำให้มีคนเลื่อมใสมากจนกระทั่งพระเจ้านรปติสิทธุก็ทรงเลื่อมใสทำนุบำรุงคณะพระสงฆ์ลังกาวงศ์และสนับสนุนให้ชาวพม่าบวชในนิกายลังกาวงศ์มากขึ้นเป็นลำดับมา มหานิกาย มหานิกาย

     ตามความในพระราชประวัติแสดงให้เห็นว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงเริ่มปรับปรุงแก้ไขการประพฤติปฏิบัติพระธรรมวินัยในส่วนพระองค์เพื่อให้ถูกต้องตามที่ทรงได้ศึกษาพิจารณามาตั้งแต่ผนวชได้๒พรรษาขณะที่ยังประทับอยู่วัดมหาธาตุและเริ่มมีสหธรรมิกอื่นๆนิยมปฏิบัติตามพระองค์ขึ้นบ้างแล้วแต่ยังคงไม่มากนัก ครั้นปีพศ๒๓๗๒อันเป็นปีที่ผนวชได้๖พรรษาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตั้งเป็นพระราชาคณะมาถึงระยะนี้คงมีภิกษุสามเณรที่นิยมการปฏิบัติตามอย่างพระองค์และมาถวายตัวเป็นศิษย์มากขึ้นจึงได้เสด็จจากวัดมหาธาตุกลับไปวัดสมอรายอันเป็นวัดนอกกำแพงพระนครและเป็นวัดฝ่ายอรัญญวาสีหรือวัดป่าที่มีชื่ออยู่ในขณะนั้นทั้งนี้ก็คงเพื่อความสะดวกพระทัยในอันเป็นที่พระองค์พร้อมทั้งคณะศิษย์จะได้ประพฤติปฏิบัติและบำเพ็ญกิจวัตรต่างๆทางพระธรรมวินัยที่เห็นว่าถูกว่าควรได้ตามประสงค์แต่ศิษย์บางส่วนก็ยังคงอยู่ที่วัดมหาธาตุต่อมา แม้เมื่อเสด็จมาประทับที่วัดสมอรายแล้วการปรับปรุงแก้ไขวัตรปฏิบัติต่างๆในคณะของพระองค์ก็คงยังดำเนินไปได้ไม่ค่อยสะดวกนักเพราะพระองค์มิได้ทรงเป็นอธิบดีสงฆ์แห่งสำนักนั้นฉะนั้นในขณะเมื่อประทับอยู่ที่วัดมหาธาตุก็ดีที่วัดสมอรายก็ดีทำเนียมปฏิบัติต่างๆที่พระองค์ได้ทรงพระราชดำริปรับปรุงแก้ไขขึ้นใหม่คงยังไม่ได้มีกำหนดเป็นรูปแบบที่ชัดเจนบริบูรณ์ ต่อเมื่อเสด็จมาครองวัดบวรนิเวศวิหารเมื่อพศ๒๓๗๙แล้วจึงปรากฏหลักฐานว่าทรงตั้งทำเนียมปฏิบัติสำหรับพระสงฆ์ธรรมยุติขึ้นอย่างไรบ้างดังที่ปรากฏในตำนานวัดบวรนิเวศวิหารเป็นต้นโดยที่พระสงฆ์คณะธรรมยุติกนิกายเกิดขึ้นจากผลของการแสวงหาความถูกต้องตามพระธรรมวินัยเริ่มแต่การทรงศึกษาสอบสวนของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตลอดมาจนถึงการศึกษาสอบสวนของพระเถรานุเถระผู้เป็นบูรพาจารย์แห่งคณะธรรมยุตเป็นลำดับมา ธรรมยุติกนิกาย พัฒนาการของธรรมยุติกนิกาย

     ต่อมาในสมัยรัชกาลที่๓พระวชิรญาณเถระหรือเจ้าฟ้ามงกุฏหรือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่๔ขณะดำรงพระยศเป็นเจ้าฟ้ามงกุฏขณะที่ผนวชอยู่ที่จังหวัดเพชรบุรีได้ทรงศรัทธาเลื่อมใสในจริยาวัตรของพระมอญชื่อซายฉายาพุทฺธวํโสจึงได้ทรงอุปสมบทใหม่ในวงศ์พระสงฆ์มอญหรือรามัญนิกายเมื่อพศ๒๓๗๒และได้ทรงตั้งคณะธรรมยุตขึ้นในปีพศ๒๓๗๖แล้วเสด็จมาประทับที่วัดบวรนิเวศวิหารและตั้งเป็นศูนย์กลางของคณะธรรมยุตสืบต่อมาและในรัชกาลที่๕พศ๒๔๔๕พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการให้ประกาศใช้พระราชบัญญัติลักษณะการปกครองคณะสงฆ์ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยพระราชบัญญัติฉบับนี้มีชื่อว่าพระราชบัญญัติคณะสงฆ์รศ๑๒๑มีสาระสำคัญคือได้ยกสถานะคณะธรรมยุตให้เป็นนิกายอย่างถูกต้องตามกฎหมายทำให้มีการแบ่งแยกเรียกนิกายของคณะสงฆ์ใหม่ตามศัพท์บัญญัติของพระวชิรญาณเถระว่าธรรมยุติกนิกายและเรียกกลุ่มพระสงฆ์เถรวาทลังกาวงศ์พื้นเมืองที่มีมาอยู่แต่เดิมว่ามหานิกายสืบมาจนปัจจุบันนี้ มหานิกาย มหานิกาย

     ธรรมยุติกนิกายหรือที่เรียกโดยย่อว่าคณะธรรมยุตเป็นคณะสงฆ์ที่พระวชิรญาณเถระทรงตั้งขึ้นเพื่อฟื้นฟูศาสนาพุทธในสยามและแก้ไขวัตรปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัยเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวผนวชอยู่นั้นได้ทรงศึกษาพระไตรปิฎกอย่างแตกฉานทำให้มีพระวิจารณญาณเกี่ยวกับความเป็นมาของพระพุทธศาสนาและความประพฤติปฏิบัติของพระสงฆ์ได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนเป็นเหตุให้มีพระราชดำริในอันที่จะฟื้นฟูการสั่งสอนพระพุทธศาสนาและการประพฤติปฏิบัติของพระสงฆ์ให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัยตามที่ได้ทรงศึกษาและทรงพิจารณาสอบสวนจนเป็นที่แน่แก่พระราชหฤทัยว่าถูกต้องเป็นจริงอย่างไรแล้วพระองค์ได้ทรงนำประพฤติปฏิบัติขึ้นก่อนหรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือทรงเริ่มแก้ไขที่พระองค์เองเป็นอันดับแรกต่อมาเมื่อมีบุคคลอื่นเห็นชอบและนิยมตามจึงได้มีผู้ประพฤติปฏิบัติตามอย่างพระองค์ขึ้นและมีจำนวนมากขึ้นเป็นลำดับจนเกิดเป็นพระสงฆ์หมู่หนึ่งหรือนิกายหนึ่งที่ได้ชื่อในภายหลังว่าธรรมยุติกนิกายหรือที่เรียกสั้นๆว่าธรรมยุตอันมีความหมายว่าผู้ประกอบด้วยธรรมหรือชอบด้วยธรรมหรือยุติตามธรรมทั้งนี้ก็เพราะว่าพระสงฆ์นี้เกิดขึ้นด้วยมุ่งแสวงหาว่าข้อใดเป็นธรรมเป็นวินัยเป็นสัตถุศาสน์(คือคำสั่งสอนของพระศาสดา)แล้วปฏิบัติข้อนั้นเว้นข้อที่ไม่เป็นธรรมไม่เป็นวินัยไม่เป็นสัตถุศาสน์แม้จะเป็นอาจินปฏิบัติ(ข้อปฏิบัติตามกันมาแต่ผิดพระธรรมวินัย)พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการให้ประกาศใช้พระราชบัญญัติลักษณะการปกครองคณะสงฆ์ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยพระราชบัญญัติฉบับนี้มีชื่อว่าพระราชบัญญัติคณะสงฆ์รศ๑๒๑มีสาระสำคัญคือได้ยกสถานะคณะธรรมยุติให้เป็นนิกายอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ธรรมยุติกนิกายตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปฏิรูปและฟื้นฟูด้านวัตรปฏิบัติของสงฆ์ให้มีความถูกต้องและเข้มงวดตามพุทธบัญญัติให้พระภิกษุสงฆ์มีวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัดถูกต้องตามพระวินัยปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้องดีงามศึกษาพระปริยัติธรรมอย่างเข้าใจแจ่มแจ้งเป็นการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในส่วนที่บกพร่องของพระสงฆ์ไทยที่มีมาแต่โบราณให้สมบูรณ์ทั้งพระวินัยปิฎกและพระสุตตันตปิฎกซึ่งเป็นความพยายามของพระวชิรญาณเถระเพื่อช่วยปฏิรูปการคณะสงฆ์และเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองอย่างบริบูรณ์ขึ้นในประเทศไทย การก่อตั้งคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายเป็นสาเหตุทำให้พระสงฆ์เถรวาทอื่นซึ่งเป็นพระสงฆ์ส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่คณะธรรมยุตได้มีการประชุมและมีมติให้เรียกพระสงฆ์ส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่คณะธรรมยุตว่ามหานิกาย ธรรมยุติกนิกาย ธรรมยุติกนิกาย ธรรมยุติ

     นิกายจุ๊กลัมในทิเบตนิกายนิงมะนิกายกาจูนิกายสักยะนิกายเกลุก มหายาน มหายาน

     นิกายซัมนอนหรือนิกายตรีศาสตร์นิกายเกยูลหรือนิกายวินัยนิกายยอนพัลหรือนิกายนิพพานนิกายฮวาออมหรือนิกายอวตังสกะนิกายชอนแทหรือนิกายสัทธรรมปุณฑรีกะนิกายซอนหรือนิกายเซนนิกายแทโกนิกายโชเก มหายาน มหายาน

     นิกายนิงมะนิกายกาจูนิกายสักยะนิกายเกลุก มหายาน มหายาน

     นิกายมัธยมกะนิกายโยคาจารนิกายจิตอมตวาทนิกายตันตระ มหายาน มหายาน

     นิกายเทนไดนิกายชินกอนหรือชินงอนนิกายโจโดนิกายเซนนิกายนิชิเรนนิกายซานรอนนิกายฮอสโสนิกายเคงอนนิกายริตสุนิกายกุชานิกายโจจิตสึ มหายาน มหายาน

     นิกายโกศะหรือจวี้เซ่อจงนิกายสัตยสิทธิหรือเฉิงซื่อจงนิกายตรีศาสตร์หรือซานหลุ่นจงนิกายทศภูมิกะหรือตี้หลุ่นจงนิกายนิพพานหรือเนี่ยผ่านจงนิกายสังปริคระศาสตร์หรือเซ่อหลุ่นจงนิกายสุขาวดีหรือจิ้งถู่นิกายฌานหรือฉานจงหรือเซนนิกายสัทธรรมปุณฑรีกะหรือเทียนไถนิกายซันเฉียหรือซันเจียเจี้ยวนิกายอวตังสกะหรือหัวเหยียนนิกายธรรมลักษณะหรือนิกายฝ่าเซียงนิกายวินัยหรือลวื้อจงนิกายเจิ้นเหยียนหรือมนตรยานหรือวัชรยาน มหายาน มหายาน

     นิกายไอศวาริกนิกายสวาภาวิกนิกายการมิกนิกายยาตริก มหายาน มหายาน

     พระราหุลเถระหนึ่งในพระมหาเถระทั้ง๕องค์ที่บวชมาจากลังกาและได้จาริกมายังพุกามได้นำกลุ่มคณะพระสงฆ์มายังประเทศหนึ่งปรากฏในพงศาวดารพม่าว่าเมืองมลายะหรือนครศรีธรรมราชนั่นเองซึ่งมีกษัตริย์ศรีวิชัยเชื้อสายมลายูปกครองอยู่เป็นอิสระ ต่อมากษัตริย์เมืองนครศรีธรรมราชได้เลื่อมใสในพระราหุลเถระจึงตั้งให้เป็นพระราชครูหลังจากนั้นจึงมีพระสงฆ์ชาวลังกาตามมาอีกมากและได้มีชาวเมืองและชาวเมืองอื่นๆในดินแดนแถบประเทศไทยและใกล้เคียงได้พากันไปบวชเรียนที่เมืองลังกามากขึ้นความนิยมนับถือในคติพระพุทธศาสนาเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์จึงแพร่หลายตั้งมั่นในดินแดนประเทศไทยสืบมาโดยลัทธิลังกาวงศ์เริ่มมาตั้งที่เมืองนครศรีธรรมราชเมื่อพศ๑๗๔๐ก่อนตั้งกรุงสุโขทัยประมาณ๕๐ปี มหานิกาย มหานิกาย



๒๓ ความรู้ก่อนหน้า |๒๓ ความรู้ต่อไป

| | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | ก ถึง ฮ