ก | ข | ค | ง | จ | ฉ | ช | ซ | ฌ | ญ | ฐ | ฑ | ฒ | ณ | ด | ต | ถ | ท | ธ | น | บ | ป | ผ | ฝ | พ | ฟ | ภ | ม | ย | ร | ล | ว | ศ | ษ | ส | ห | ฬ | อ | ฮ | ก ถึง ฮ
มหานิกายนั้นมาจากธาตุศัพท์ภาษาบาลีมหนฺตบวกนิกายแปลว่าพวกมาก
มหานิกาย
มหานิกาย
มหานิกายเป็นคำเรียกนิกายหรือคณะของพระสงฆ์ไทยสายเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์ซึ่งเป็นพระสงฆ์ส่วนใหญ่ในประเทศไทยเป็นฝ่ายคันถธุระมหานิกายหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าคามวาสี
เดิมนั้นคำเรียกแบ่งแยกพระสงฆ์สายเถรวาทในประเทศไทยออกเป็นมหานิกายและธรรมยุติกนิกายยังไม่มีเนื่องจากคณะพระสงฆ์ไทยในสมัยโบราณก่อนหน้าที่จะมีการจัดตั้งคณะธรรมยุตขึ้นในสมัยรัชกาลที่๔นั้นไม่มีการแบ่งแยกออกเป็นนิกายต่างๆโดยส่วนใหญ่พระสงฆ์ไทยนั้นล้วนแต่เป็นเถรวาทสายลังกาวงศ์ทั้งสิ้นจนเมื่อพระวชิรญาณเถระหรือเจ้าฟ้ามงกุฏพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่๔ได้ก่อตั้งนิกายธรรมยุตขึ้นในปีพศ๒๓๗๖แยกออกจากคณะพระสงฆ์ไทยที่มีมาแต่เดิมซึ่งเป็นพระสงฆ์ส่วนใหญ่ในสมัยนั้นจึงทำให้พระองค์คิดคำเรียกพระสงฆ์ส่วนใหญ่ในประเทศไทยที่เป็นสายเถรวาทลังกาวงศ์เดิมว่าพระส่วนมากหรือมหานิกาย
กล่าวโดยสรุปมหานิกายก็คือพระสงฆ์สายเถรวาทลังกาวงศ์ดั้งเดิมในประเทศไทยส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่พระสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย
มหานิกาย
มหานิกาย
มหายานมาจากธาตุศัพท์ภาษาบาลีสันสกฤตมหาบวกยานแปลว่าพาหนะที่ใหญ่เป็นคำเรียกที่อาศัยการเปรียบเทียบจากคำว่าหีนยานซึ่งแปลว่าพาหนะที่เล็กๆมหายานยังมีความหมายว่ายานที่สูงสุดตามความเชื่อของพุทธศาสนิกชนฝ่ายมหายานคำว่ามหายานไม่เพียงแต่เป็นยานใหญ่และสูงสุดเท่านั้นหากเป็นยานที่รื้อขนสรรพสัตว์ได้ทุกประเภททุกวัยรวมทั้งสัตว์โลกทุกรูปนามเพื่อไปสู่พระนิพพานและยานนี้ยังหมายถึงยานที่จะไปถึงพุทธภูมิแล้วสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
คำว่ามหายานจึงเป็นการเปรียบเทียบหมายถึงการขนสัตว์ให้ข้ามพ้นวัฏสงสารได้มากกว่าสาวกยานในคัมภีร์มหาปรัชญาปารมิตาศาสตร์คุรุนาคารชุนะปราชญ์ฝ่ายมหายานได้อธิบายความหมายของมหายานไว้ว่าพระพุทธธรรมมีเอกรสเดียวคือรสแห่งวิมุตติความรอดพ้นจากปวงทุกข์แต่ชนิดของรสมี๒ชนิดคือชนิดแรกเพื่อตัวเองชนิดที่สองเพื่อตัวเองและสรรพสัตว์ด้วยอันหมายความว่าฝ่ายสาวกยานมุ่งเพียงความหลุดพ้นเป็นอรหันต์สิ้นกิเลสเฉพาะตนไม่มีปณิธานในการโปรดสรรพสัตว์ให้ถึงความหลุดพ้นด้วยแต่ฝ่ายมหายานย่อมมีอุคมคติตรงกันข้ามกล่าวคือย่อมมุ่งพุทธภูมิมีปณิธานจะตรัสรู้เป็นพระพุทธะเพื่อขนสัตว์ให้พ้นทุกข์จนหมดสิ้นอธิบายว่าพุทธศาสนิกชนฝ่ายสาวกยานโดยทั่วไปมุ่งแต่สาวกภูมิเป็นสำคัญฉะนั้นจึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าสาวกยานส่วนพุทธศาสนิกชนฝ่ายมหายานย่อมมุ่งพุทธภูมิทั้งนั้นจึงมีอีกชื่อว่าโพธิสัตวยานหรือพุทธยาน
ในสัทธรรมปุณฑรีกสูตรได้อธิบายความหมายของมหายานว่าถ้าสรรพสัตว์ได้สดับธรรมจากพระผู้มีพระภาคแล้วบังเกิดศรัทธาความเชื่อปสาทะความเลื่อมใสได้วิริยะบำเพ็ญบารมีเพื่อสัพพัญญุตญาณอันเป็นธรรมชาติญาณอันปราศจากครูอาจารย์ญาณแห่งพระตถาคตกำลังความกล้าหาญมีความกรุณาปรารถนาต่อความสุขของสรรพสัตว์บำเพ็ญหิตานุหิตประโยชน์ต่อทวยเทพและมนุษย์โปรดสรรพนิกรให้พ้นทุกข์นั่นชื่อว่ามหายาน
นอกจากนี้พระนาคารชุนได้กล่าวไว้ในทวาทศนิกายศาสตร์อีกว่ามหายานคือยานอันประเสริฐกว่ายานทั้ง๒เหตุนั้นจึงชื่อว่ามหายานพระพุทธเจ้าทั้งหลายอันใหญ่ยิ่งทรงอาศัยซึ่งยานนี้และยานนี้จะสามารถนำเราเข้าถึงพระองค์ได้เหตุนั้นจึงชื่อว่ามหาอนึ่งปวงพระพุทธเจ้าผู้มหาบุรุษได้อาศัยยานนี้เหตุนั้นจึงชื่อว่ามหาและอีกทั้งสามารถดับทุกข์อันไพศาลของสรรพสัตว์และประกอบประโยชน์อันยิ่งใหญ่ให้ถึงพร้อมเหตุนั้นจึงชื่อว่ามหาอนึ่งพระโพธิสัตว์ทั้งปวงมีพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์หรือเจ้าแม่กวนอิมพระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์พระเมตไตรยโพธิสัตว์พระมัญชุศรีโพธิสัตว์พระสมันตภัทรโพธิสัตว์และพระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์เป็นต้นปวงมหาบุรุษได้ทรงอาศัยเหตุนั้นจึงชื่อว่ามหาอนึ่งเมื่ออาศัยยานนี้แล้วก็ย่อมเข้าถึงที่สุดแห่งธรรมทั้งปวงเหตุนั้นจึงชื่อว่ามหา
นอกจากที่กล่าวมาแล้วยังมีข้อความที่ยกย่องมหายานอีกเป็นจำนวนมากในคัมภีร์ของมหายานเช่นเรียกว่าอนุตรยานยานอันสูงสุดโพธิสัตวยานยานของพระโพธิสัตว์พุทธยานยานของพระพุทธเจ้าเอกยานยานอันเอกเป็นต้นเพราะฉะนั้นคำว่ายานในพระพุทธศาสนาจึงเป็นดั่งคำเปรียบเปรยของมรรควิถีอันจะนำไปสู่ความหลุดพ้นในรูปแบบที่แตกต่างกันนั่นเอง
มหายาน
มหายาน
มหายานเป็นนิกายในศาสนาพุทธฝ่ายอาจริยวาทที่นับถือกันอยู่ประเทศแถบตอนเหนือของอินเดียเนปาลจีนญี่ปุ่นเกาหลีเวียดนามมองโกเลียไปจนถึงบางส่วนของรัสเซียจุดเด่นของนิกายนี้อยู่ที่แนวคิดเรื่องการบำเพ็ญตนเป็นพระโพธิสัตว์สร้างบารมีเพื่อช่วยเหลือสรรพชีวิตในโลกไปสู่ความพ้นทุกข์ด้วยเหตุที่มีผู้นับถืออยู่มากในประเทศแถบเหนือจึงเรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่าอุตตรนิกายปัจจุบันพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ของโลกเป็นผู้นับถือนิกายมหายาน
มหายาน
มหายาน
ยานในพระพุทธศาสนาได้แบ่งออกเป็น๓ตามมติฝ่ายมหายานคือ
๑สาวกยานคือยานของพระสาวกที่มุ่งเพียงอรหัตภูมิรู้แจ้งในอริยสัจด้วยการสดับจากพระพุทธเจ้า๒ปัจเจกยานคือยานของพระปัจเจกพุทธเจ้าได้แก่ผู้รู้แจ้งในปฏิจจสมุปบาทด้วยตนเองแต่ไม่สามารถแสดงธรรมสั่งสอนสัตว์ให้บรรลุมรรคผลได้๓โพธิสัตวยานคือยานของพระโพธิสัตว์ซึ่งได้แก่ผู้มีน้ำใจกว้างขวางประกอบด้วยมหากรุณาในสรรพสัตว์ไม่ต้องการอรหัตภูมิปัจเจกภูมิแต่ปรารถนาพุทธภูมิเพื่อโปรดสัตว์ได้กว้างขวางกว่า๒ยานแรกและเป็นผู้รู้แจ้งในศูนยตาธรรม
มหายาน
มหายาน
ระเบียบแบบแผนในด้านการปฏิรูปทางพระพุทธศาสนาของธรรมยุติกนิกายโดยพระวชิรญาณเถระ(เจ้าฟ้ามงกุฏพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่๔)
ทรงตั้งธรรมเนียมนมัสการพระเช้าค่ำที่เรียกว่าทำวัตรเช้าทำวัตรค่ำเป็นประจำและทรงพระราชนิพนธ์บทสวดเป็นภาษาบาลีเป็นคาถาเป็นจุณณิยบทซึ่งใช้แพร่หลายมาจนถึงปัจจุบันนี้มีการรักษาศีลอุโบสถและแสดงพระธรรมเทศนาเวลาเก้าโมงเช้าและบ่ายสามโมงเย็นในวันธรรมสวนะและวันอุโบสถเดือนละ๔ครั้ง
ทรงปฏิรูปการเทศน์และการอธิบายธรรมทรงเริ่มการเทศนาด้วยฝีพระโอษฐ์ชวนให้ผู้ฟังเข้าใจง่ายและเกิดศรัทธาไม่โปรดเขียนหนังสือไว้เทศน์นอกจากนี้ยังทรงฝึกหัดศิษย์ให้ปฏิบัติตามทรงอธิบายเพื่อให้คนเข้าใจในเนื้อหาของหลักธรรมเผยแพร่หลักธรรมสู่ราษฎรอธิบายหลักอันยุ่งยากซับซ้อนคณะสงฆ์ธรรมยุติได้เพิ่มบทสวดมนต์ภาษาไทยลงไปทำให้คนนิยมฟังเป็นอันมาก
ทรงกำหนดวันมาฆบูชาเป็นวันสำคัญทางศาสนาเพิ่มขึ้นจากวันวิสาขบูชาทรงพระราชนิพนธ์คำบูชาและวางระเบียบให้เดินเวียนเทียนและสดับพระธรรมเทศนาทรงชักนำให้บำเพ็ญกุศลตามเทศกาลต่างๆเช่นถวายสลากภัตรตักบาตรน้ำผึ้งถวายผ้าจำนำพรรษา
ทรงแก้ไขการรับผ้ากฐินให้ถูกต้องตามพุทธบัญญัติคือเริ่มแต่การซักตัดเย็บย้อมให้เสร็จภายในวันเดียวกัน
ทรงแก้ไขการขอบรรพชาและการสวดกรรมวาจาในอุปสมบทกรรมให้ถูกต้องยิ่งขึ้นเช่นระบุนามอุปสัมปทาและนามอุปัชฌายะซึ่งเป็นภาษาบาลีในกรรมวาจาการออกเสียงอักษรบาลีทรงให้ถือหลักการออกเสียงให้ถูกฐานกรณ์ของอักขระตามหลักบาลีไวยากรณ์
ทรงวางระเบียบการครองผ้าคือการนุ่งห่มของภิกษุสามเณรให้ปฏิบัติไปตามหลักเสริยวัตรในพระวินัยเพื่อให้สุภาพเรียบร้อย(เดิมพระธรรมยุติครองจีวรห่มม้วนซ้ายแต่ตอนปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เปลี่ยนมาห่มห่มม้วนขวา(ห่มมังกร)ตามแบบพระสงฆ์มหานิกายครั้นถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสวยราชย์จึงได้กลับมาห่มม้วนซ้ายตามเดิม)ทรงวางระเบียบการกราบไหว้ของพระภิกษุสามเณรและระเบียบอาจารยะมารยาทต้องวางตัวให้น่าเลื่อมใสศรัทธาสังวรในกิริยามารยาทและขนบธรรมเนียม
ทรงให้พระสงฆ์ธรรมยุติศึกษาพระปริยัติธรรมให้แตกฉานสามารถแสดงธรรมเทศนาสั่งสอนสามารถแยกระหว่างความเชื่อที่มีเหตุผลและความเชื่อในสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้การศึกษาในด้านวิปัสสนาธุระไม่ใช่รับรู้เฉพาะสมถะวิธีอันเป็นเบื้องต้นแต่ให้รับรู้ไปถึงขั้นวิปัสสนากรรมฐานการปฏิบัติตามพระวินัยทรงให้ถือหลักว่าสิ่งใดที่สงสัยและน่ารังเกียจไม่ควรกระทำโดยเด็ดขาดพึงเคารพพระวินัยอย่างเคร่งครัด
ทรงเห็นความสำคัญในการศึกษาหาความรู้สาขาอื่นๆของพระสงฆ์จึงทรงอนุญาตให้พระสงฆ์เข้าศึกษาภาษาอังกฤษกับหมอแคสเวลตามความสนใจทำให้มีการสืบสานการเข้าศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมของพระสงฆ์มาจนถึงปัจจุบัน
ธรรมยุติกนิกาย
ธรรมเนียมและแบบแผนของธรรมยุติกนิกาย
หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานได้๓เดือนพระสาวกผู้ได้เคยสดับสั่งสอนของพระองค์จำนวน๕๐๐รูปก็ประชุมทำสังคายนาครั้งแรกณถ้ำสัตบรรณคูหาใกล้เมืองราชคฤห์แคว้นมคธใช้เวลาสอบทานอยู่๗เดือนจึงประมวลคำสอนของพระพุทธเจ้าได้สำเร็จเป็นครั้งแรกนับเป็นบ่อเกิดของคัมภีร์พระไตรปิฎกคำสอนที่ลงมติกันไว้ในครั้งปฐมสังคายนาและได้นับถือกันสืบมาเรียกว่าเถรวาทแปลว่าคำสอนที่วางไว้เป็นหลักการโดยพระเถระคำว่าเถระในที่นี้หมายถึงพระเถระผู้ประชุมทำสังคายนาครั้งแรกและพระพุทธศาสนาซึ่งถือตามหลักที่ได้สังคายนาครั้งแรกดังกล่าวเรียกว่านิกายเถรวาทอันหมายถึงคณะสงฆ์กลุ่มที่ยึดคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งถ้อยคำและเนื้อความที่ท่านสังคายนาไว้โดยเคร่งครัดตลอดจนรักษาแม้แต่ตัวภาษาดั้งเดิมคือภาษาบาลี
ในกาลต่อมาต่อมาเมื่อมีปัญหาขัดแย้งพระเถระผู้ใหญ่ก็ประชุมขจัดข้อขัดแย้งกันเกิดการสังคายนาต่อมาอีกหลายครั้งจนได้พระไตรปิฎกของฝ่ายเถรวาทดังที่เรารู้จักกันทุกวันนี้ซึ่งถือกันทั่วไปว่าเป็นคำสอนโดยตรงของพระพุทธเจ้าที่นับว่าใกล้เคียงที่สุดอย่างไรก็ตามการสังคายนาแต่ละครั้งแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างทางความคิดในหมู่สงฆ์จนก่อให้เกิดการแยกฝ่ายที่มีความคิดเห็นไม่ลงรอยกันในส่วนหลักธรรมและข้อวัตรปฏิบัติ
กล่าวกันว่ามูลเหตุของการแยกนิกายในพุทธศาสนามาจากในคราวใกล้เสด็จดับขันธปรินิพพานพระพุทธเจ้าได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า
ดูกรอานนท์โดยกาลล่วงไปแห่งเราถ้าสงฆ์ต้องการก็จงถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียบ้างก็ได้
มหาปรินิพพานสูตร๑๐๑๔๑พุทธดำรัสดังกล่าวไม่ชัดเจนเพียงพอทำให้เกิดมีปัญหาในการตีความว่าสิกขาบทไหนเรียกว่าเล็กน้อยเป็นเหตุให้พระภิกษุบางรูปไม่เห็นด้วยและไม่ยอมรับสังคายนามาตั้งแต่ครั้งแรกและเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับการสังคายนาครั้งหลังๆอีกหลายครั้งเป็นเหตุให้มีกลุ่มที่แยกตัวทำสังคายนาต่างหากเป็นการแตกแยกทางลัทธิและนิกายแต่ก็มิได้ถือว่าเป็นการแบ่งแยกศาสนาแต่ประการใด
หลังจากพระพุทธองค์ปรินิพพานได้๑๐๐ปีอันเป็นช่วงเวลาที่มีการสังคายนาครั้งที่๒ได้มีคณะสงฆ์กลุ่มหนึ่งเรียกว่ามหาสังฆิกะซึ่งมีจำนวนมากได้แยกตนออกไปต่างหากจากกลุ่มเถรวาทเดิมการแยกตัวของมหาสังฆิกะนี้มีมูลเหตุจากความเห็นที่แตกต่างเรื่องหลักปฏิบัติของภิกษุหลังจากนั้นมหาสังฆิกะได้แยกกลุ่มนิกายย่อยออกไปอีก๑๘นิกายเนื่องจากมีทัศนะอุดมคติการตีความหลักธรรมและวัตรปฏิบัติที่แตกต่างกันหลังจากนั้นภิกษุบางรูปในนิกายทั้ง๑๘นี้ได้แยกตนออกมาตั้งคณะใหม่โดยถือปรัชญาและหลักจริยวัตรของตนกระทั่งในราวพุทธศตวรรษที่๕จึงได้เกิดกลุ่มคณะสงฆ์และคฤหัสถ์ที่เรียกตนเองว่ามหายานขึ้นแม้จะมีที่มาไม่แน่ชัดแต่สันนิษฐานได้ว่าพัฒนาจากนิกายมหาสังฆิกะผสมผสานกับปรัชญาของนิกายพุทธศาสนาอื่นทั้ง๑๘นิกายรวมทั้งนิกายเถรวาทด้วยก่อกำเนิดเป็นลัทธิมหายาน
แม้ไม่อาจกำหนดให้แน่ชัดลงไปได้ว่าพระพุทธศาสนานิกายมหายานเริ่มถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใดแต่ที่แน่ชัดคือพระเจ้ากนิษกะมหาราชกษัตริย์องค์ที่๗แห่งราชวงศ์กุษาณะหรือประมาณศตวรรษที่๑แห่งคริสต์ศักราชทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภกพระองค์แรกของนิกายมหายานได้ทรงปลูกฝังพระพุทธศาสนามหายานอย่างมั่นคงในราชอาณาจักรของพระองค์และทรงส่งธรรมทูตออกเผยแพร่ยังนานาประเทศเปรียบได้กับพระเจ้าอโศกมหาราชของฝ่ายเถรวาท
มหายาน
มหายาน
อย่าไปตั้งข้อสงสัยว่าเป็นนิกายไหนเลยค่ะเพราะทุกนิกายในพระพุทธศาสนาสอนจิตภาวนาเช่นเดียวกันเมื่อคนเริ่มปฏิบัติสมาธิทำอย่างจริงจังด้วยวิธีที่ถูกต้องก็จะได้ผลเช่นเดียวกันค่ะ
ปฐมพงษ์โพธิ์ประสิทธินันท์
นิกาย
นิกาย
นิกาย
ผลเดียวกัน
เมื่อพ่อขุนรามคำแหงมหาราชเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์กรุงสุโขทัยในพศ๑๘๑๗ถึงพศ๑๘๖๐ทรงสดับกิตติศัพท์ของพระสงฆ์ลังกาจึงทรงอาราธนาพระมหาเถระสังฆราชซึ่งเป็นพระเถระชาวลังกาที่มาเผยแผ่อยู่ที่นครศรีธรรมราชมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในกรุงสุโขทัยต่อมาทั้งล้านนามอญและเขมรต่างก็นิยมฝ่ายลังกาวงศ์จึงได้ส่งพระสงฆ์ไปสืบพระพุทธศาสนาที่ลังกาบ้างมีการนิมนต์พระลังกามาเป็นอุปัชฌาย์ในเมืองของตนบ้างการเผยแพร่พระพุทธศาสนาสายเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์ในดินแดนแถบสุโขทัยจึงรุ่งเรืองมานับแต่นั้นทำให้พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานและศาสนาพราหมณ์ซึ่งเจริญมาแต่ก่อนนั้นหมดความนิยมไปเมื่อคณะสงฆ์ได้รวมกันเป็นคณะเดียวกันแล้วจึงได้แบ่งธุระออกเป็น๒พวกคือพวกที่สมาทานคันถธุระก็เล่าเรียนภาษาบาลีพระไตรปิฎกคณะสงฆ์ฝ่ายนี้มักเลือกวัดที่อยู่ใกล้บ้านจึงได้ชื่อว่าคณะคามวาสีส่วนพวกที่สมาทานวิปัสสนาธุระก็จะบำเพ็ญหาความสงบสุขอยู่ตามวัดในป่าจึงได้ชื่อว่าคณะอรัญวาสีอย่างไรก็ตามทั้ง๒คณะก็รวมอยู่ในนิกายเดียวกันคือมหานิกายเผยแผ่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองสืบมา
มหานิกาย
มหานิกาย
เมื่อประมาณพศ๒๓๖พระเจ้าอโศกมหาราชทำการอุปถัมภ์สังคายนาพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นในชมพูทวีปและจัดส่งสมณทูตไปยังดินแดนต่างๆรวม๙แห่งหนึ่งในนั้นรวมดินแดนลังกาหรือประเทศศรีลังกาในปัจจุบันด้วย
ต่อมาพระพุทธศาสนาในลังกาทวีปซึ่งก็คือชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งของดินแดนศรีลังกาในอดีตได้เจริญรุ่งเรืองและเสื่อมโทรมบ้างตามความศรัทธาของประชาชนและเหตุการณ์บ้านเมืองครั้นราวพุทธศตวรรษที่๑๗ปรากฏตามพงศาวดารลังกาว่าเมื่อพศ๑๖๙๖พระเจ้าปรักกรมพาหุมหาราชได้ครองราชสมบัติในลังกาทวีปซึ่งในเวลานั้นบ้านเมืองยังถูกพวกทมิฬครอบครองอยู่โดยมาก
พระเจ้าปรักกรมพาหุจึงได้พยายามทำสงครามขับไล่พวกทมิฬไปได้และถึงกับยกกองทัพข้ามไปตีเมืองทมิฬในอินเดียไว้ในอำนาจได้อีกด้วยเมื่อพระองค์จัดการบ้านเมืองในลังกาได้เรียบร้อยแล้วจึงได้ทรงฟื้นฟูพระพุทธศาสนาโดยให้พระสงฆ์ในลังกาทวีปรวมเป็นนิกายเดียวกันพร้อมกับจัดทำสังคายนาพระธรรมวินัยซึ่งนับถือกันว่าเป็นการสังคายนาครั้งที่๗ของฝ่ายเถรวาทนับแต่นั้นพระพุทธศาสนาจึงเจริญรุ่งเรืองขึ้นในลังกาทวีปมีกิตติศัพท์เลื่องลือไปทั่วในดินแดนใกล้เคียงประกอบกับช่วงเวลานั้นพระพุทธศาสนาในอินเดียถูกชาวฮินดูเบียดเบียนให้เสื่อมโทรมลงเมืองลังกาจึงได้รับการยอมรับนับถือว่าเป็นหลักของประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาคตินิกายเถรวาทด้วยกัน
มหานิกาย
มหานิกาย
๑สีจีวรต่างกันมหานิกายจะห่มสีส้มทองแต่ธรรมยุติจะห่มสีเข้มที่เรียกว่าสีแก่นขนุนค่ะแต่เดี๋ยวนี้แยกออกมาอีกหลากหลายมีทั้งแก่นทองแก่นกรักแก่นแดงพระป่าฯลฯแต่ความต่างอันนี้ก็ไม่จำเป็นอีกแล้วแหละค่ะเพราะอย่างสายหลวงปู่ชาพระอาจารย์สุรศักดิ์เองก็เป็นมหานิกายที่ห่มจีวรสีธรรมยุติอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้สังเกตุยากในพิธีหลวงคือสงฆ์สองนิกายจะใช้จีวรสีพระราชนิยมที่เรียกบิดเบือนไปว่าสีพระราชทานเป็นสีกลางระหว่างสองนิกายค่ะเพื่อความเป็นกลุ่มก้อนเดียวกันเมื่อประชุมพร้อมกันและไม่ทำให้เกิดความแตกแยกด้วยค่ะ
โดยนายธนวรรธน์มานะทัต(ทิดแทน)?
ธรรมยุติและมหานิกาย
ธรรมยุติและมหานิกาย
ธรรมยุติและมหานิกาย
สีจีวร
๒ครองจีวรต่างกันมหานิกายมักจะห่มดองโดยสังเกตุได้ว่าจะพันผ้ารัดอกทับสังฆาฏิและมือสองข้างเป็นอิสระโดยเฉพาะในงานพิธีการนอกจากนั้นก็จะมีการห่มมังกรโดยหมุนผ้าลูกบวบทางขวาเวลาออกนอกวัดส่วนเมือถึงเวลาทำสังฆกรรมจะคาดผ้าที่หน้าอกและมีผ้าสังฆาฏิพาดที่ไหล่ซ้ายแต่เหลือน้อยวัดแล้วเช่นที่วัดสะเกศเป็นต้นส่วนธรรมยุติจะห่มลูกบวบโดยม้วนม้วนม้วนใส่ไว้ใต้รักแร้ข้างซ้ายเวลางานพิธีก็เพียงพันผ้ารัดอกทับไปเลยบางทีเรียกกันลำลองว่าห่มดองธรรมยุติแต่เดี๋ยวนี้ความต่างน้อยลงเพราะมีพระบัญชาของสมเด็จพระมหาสมณะเจ้ากรมพระวชิรญาณวโรรสให้พระภิกษุทั่วสังฆมณฑลห่มผ้าตามแบบของธรรมยุติกนิกายทั้งหมดอีกประการที่เหมือนกันคือพระไทยจะห่มคลุมไหล่ทั้งสองข้างเมื่ออยู่นอกวัดและลดไหล่ซ้ายยามอยู่ในวัดซึ่งแตกต่างจากของพม่าที่ทำตรงข้ามกันค่ะ
โดยนายธนวรรธน์มานะทัต(ทิดแทน)?
ธรรมยุติและมหานิกาย
ธรรมยุติและมหานิกาย
ธรรมยุติและมหานิกาย
ครองจีวร
๓ปัจจัยอย่างที่ทราบกันว่าพระธรรมยุตินั้นจะไม่จับปัจจัยแต่สามารถรับใบโมทนาบัตรได้ส่วนพระมหานิกายนั้นไม่ถือในข้อนี้ในหนังสือบูรพาจารย์เล่าว่าหลวงปู่มั่นเคยออกปากไล่พระอาคันตุกะเพราะนำอสรพิษติดตัวมาด้วยตอนแรกพระท่านก็งงแต่นึกออกภายหลังว่านำเงินติดใส่ย่ามมาด้วยดรสนองวรอุไรท่านสรุปว่าสองนิกายรับเงินได้เพียงแต่มีวิธีคนและแบบเท่านั้นค่ะแต่ก็ยังมีข้อยกเว้นนะคะพระบางรูปท่านถือเรื่องเงินว่าเป็นเรื่องที่ท่านจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวเลยอย่างที่วัดมเหยงคณ์มีพระอาจารย์ที่ทิดทั้งหลายนับถือมากท่านหนึ่งท่านไม่รับถวายปัจจัยไม่ว่าในรูปแบบใดและข้าวของใดๆทั้งสิ้นนอกจากจำเป็นจริงๆท่านเป็นมหาเปรียญ๗ประโยคผู้แตกฉานในพระไตรปิฏกแต่เร่งความเพียรในการภาวนาและอยู่อย่างเรียบง่ายยิ่งนักเป็นพระสุปฏิปัณโณที่แท้จริงและสอนจริงทั้งทฤษฏีและปฏิบัติแต่จะหาตัวยากเพราะท่านมักออกธุดงค์ไปตามที่ต่างๆโดยเดินไปและไม่อาจติดต่อได้ขอออกนามท่านพระอาจารย์มหาสุชาติสุชาโตด้วยความเคารพเหนือเกล้าจิตตอนนี้นึกถึงพระมหากัสปะผู้เป็นเลิศในธุดงควัตรแต่การจับปัจจัยรับปัจจัยหรือไม่ไม่อาจบ่งชี้ว่าท่านใดบริสุทธิ์หรือไม่นะค่ะเพราะเป็นเพียงการแสดงออกของกายบัญญัติมิใช่เจตนาปรมัตถ์เช่นที่หลวงปู่แหวนเอาแบ๊งค์ห้าร้อยมามวนบุหรี่สูบพระธรรมยุติสายป่าเองก็ปรับท่านอาบัติมิได้โดยหลวงตามหาบัวท่านรับรองไว้ค่ะ
โดยนายธนวรรธน์มานะทัต(ทิดแทน)?
ธรรมยุติและมหานิกาย
ธรรมยุติและมหานิกาย
ธรรมยุติและมหานิกาย
จับปัจจัย
๔ฉันในบาตรกริยานี้บางท่านก็ว่าเป็นข้อต่างของสองนิกายเพราะธรรมยุติมักจะฉันในบาตรแต่พระมหานิกายรับบาตรแล้วแยกฉันในจานข้อนี้ก็ตอบยากเพราะมีวัดธรรมยุติที่ไม่ใช่สายป่าบางวัดก็ฉันในจานและพระมหานิกายบางรูปที่ถือธุดงควัตรข้อนี้ก็ฉันแต่ในบาตรค่ะ
โดยนายธนวรรธน์มานะทัต(ทิดแทน)?
ธรรมยุติและมหานิกาย
ธรรมยุติและมหานิกาย
ธรรมยุติและมหานิกาย
ฉันในบาตร
๕การรับบาตรและเก็บอาหารพระสายป่าท่านจะเคร่งเรื่องนี้ค่ะว่ารับเฉพาะของที่ฉันได้ทันทีดังนั้นจะไม่รับของแห้งพวกข้าวสารหรือของที่ฉันไม่ได้เช่นแปรงสีฟันใส่ในบาตรแม้เป็นเพียงการรับเชิงสัญลักษณ์เช่นตักบาตรปีใหม่ท่านจะเสี่ยงให้ถวายกับมือแทนหรือถวายเป็นสังฆทานกองรวมไปและก็จะไม่เก็บอาหารพ้นกาลเช่นอาหารทั่วไปถึงเที่ยงน้ำปานะหนึ่งวันเภสัชห้าน้ำผึ้งน้ำอ้อยน้ำตาลเนยใสเนยข้นเจ็ดวันพ้นนี้ไปท่านไม่เก็บในกุฏิแม้ไว้ให้ญาติโยมและไม่มีการนำมาประเคนใหม่แต่ก็ไม่ใช่พระทั้งหมดที่ทำตามข้อวัตรนี้และผู้ที่ถือตามนี้ก็มีทั้งสองนิกายด้วยเช่นกันค่ะ
โดยนายธนวรรธน์มานะทัต(ทิดแทน)?
ธรรมยุติและมหานิกาย
ธรรมยุติและมหานิกาย
ธรรมยุติและมหานิกาย
การรับบาตร
๖พระธรรมยุติไม่ทำสังฆกรรมร่วมกับพระมหานิกายค่ะเช่นการลงอุโบสถอย่างที่หลวงปู่มั่นให้หลวงปู่ชาทำคือมาบอกบริสุทธิ์กับท่านหลังจากพระธรรมยุติรูปอื่นๆชำระศีลผ่านขั้นตอนปาฏิโมกข์เรียบร้อยแล้วจึงเห็นได้ว่าลูกศิษย์ที่เคยเป็นสายมหานิกายต้องทำการญัตติหรือบวชเป็นพระเริ่มนับพรรษาใหมค่ะ่
โดยนายธนวรรธน์มานะทัต(ทิดแทน)?
ธรรมยุติและมหานิกาย
ธรรมยุติและมหานิกาย
ธรรมยุติและมหานิกาย
ทำสังฆกรรม
ก็ครูบาอาจารย์ท่านบอกไว้นี่คะแล้วพวกท่านก็ล้วนแต่ผู้ทรงศีลทรงธรรมท่านคงไม่หลอกเราหรอกมั้งคะแต่ก็นะกาลามสูตรปฏิบัติให้เห็นจริงด้วยตัวเองไปเลยดีกว่าค่ะถ้างั้นผีผีผีกาลามสูตร
งั้นก็อดีตคนเคยมีชีวิตสินะคะแล้วน่ากลัวตรงไหนเหรอผีผีผีถามกลัวทำไมทำไมกลัวผีสถานะสงสัย
ถ้าจะให้ว่าไปว่าไม่กลัวนะคะแต่ถ้าได้เจอจริงๆนี่ก็ไม่รู้สินะคะแล้วหล่ะคะกลัวไม๊ผีผีผีกลัวผีหรือไม่กลัวผีไม๊สถานะสงสัย
ท่านก็คงพยายามทำบุญของท่านมั้งหล่ะมั้งคะหรือไม่ก็มีไรกันมาแต่ชาติไหนไหนก็เป็นได้เหมือนกันแหละค่ะชาตินี่ท่านก็เลยมาช่วยปกปักรักษาด้วยเทวดาเทวดาเทวดาทำบุญ
เป็นอจินไตย
ขอย้ำหมายถึงคนสร้างนะคะว่ามีจริงไม่ได้หมายถึงพระเจ้าของค่ะ
เอ้าก็แหมกฎแห่งกรรมเพียบพร้อมลึกซึ้งซับซ้อนขนาดไหนจะให้ไม่มีคนสร้างได้อย่างไรหล่ะคะ
ผู้สร้างมีจริงหรือไม่
กฎแห่งกรรม
กฎแห่งกรรม
สร้าง
ถ้าของศาสนาอื่นๆเค้าก็หมายถึงคนที่สร้างจักรวาลสร้างโลกสร้างมนุษย์สร้างทุกสิ่งแหละค่ะ
พระเจ้า
พระเจ้า
พระเจ้า
สร้างโลก
๒๓ ความรู้ก่อนหน้า |๒๓ ความรู้ต่อไป
ก | ข | ค | ง | จ | ฉ | ช | ซ | ฌ | ญ | ฐ | ฑ | ฒ | ณ | ด | ต | ถ | ท | ธ | น | บ | ป | ผ | ฝ | พ | ฟ | ภ | ม | ย | ร | ล | ว | ศ | ษ | ส | ห | ฬ | อ | ฮ | ก ถึง ฮ